May 5, 2024   3:55:52 PM ICT
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 24/05/53
กลยุทธ์การลงทุน
            คืนความสงบสุขกลับมาสู่กรุงเทพฯ....ชั่วคราว? ต่างชาติยังกู่ไม่กลับ ทำให้เชื่อว่าดัชนีหุ้น
ไทยยังจะต้องเผชิญกับแนวต้านระยะสั้นคือ PER 13 เท่า หรือ 762-770 จุด ในระยะ 1 เดือน
ข้างหน้า กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นให้หลีกเลี่ยงหุ้นโรงแรม  CPN, CENTEL, ERAWAN แต่
ให้กลับมาซื้อ BEC, MAJOR เนื่องจากจะกลับมาดำเนินงานตามปกติได้เร็วสุด 
 
หลายปัจจัยกดดันให้ดัชนีฟื้นตัวช่วงสั้นเท่านั้น โดยคาดเผชิญแนวต้าน 770 จุด/PER 13 เท่า
            ความรู้สึกของคนกรุงเทพฯ คือ ผ่อนคลายลง หลังจากความสงบสุขกลับมาสู่กรุงเทพฯ อีก
ครั้งหนึ่ง แต่เหตุการณ์สงบนี้จะเกิดขึ้นชั่วคราวหรือเปล่า? เป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป เพราะ
กระแสข่าวคลื่นใต้น้ำยังคงมาแรง (เฉพาะจากการให้สัมภาษณ์ของทางฝั่งรัฐบาลต่อสื่อมวลชน
ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา) และสะท้อนได้จากที่รัฐบาล ยังจำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พร้อมกับ
อาจจะประกาศใช้เคอร์ฟิวต่อไป  หากยังไม่มั่นใจต่อความปลอดภัยของประชาชน (การประกาศ
ครั้งสุดท้ายจะสิ้นสุดในเวลา 23.00 น.ในวันนี้ ถึง 4.00 น. พรุ่งนี้)     นอกจากนี้ผลกระทบจาก
การประกาศรายชื่อ ทั้งในนามบริษัท 20 แห่ง และนักธุรกิจและนักการเมืองอีก 128 คน ห้ามทำ
ธุรกรรมทางการเงิน เนื่องจากถูกเพ่งเล็งว่าเป็นผู้ส่งท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. สิ่งเหล่า
นี้ยังเป็นปัจจัยบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งชาวไทย และต่างประเทศ โดยคาดว่านักลง
ทุนต่างชาติจะยังคงเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อไป ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาพบว่านักลงทุนต่าง
ชาติมียอดขายสุทธินับจากวันประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินในเย็นวันที่ 7 เม.ย. 2553 จนถึงวันที่
19 พ.ค. 2553 รวม 4.96 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามจำนวนขายสุทธิดังกล่าวยังน้อยกว่า ที่
นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสุทธิ 5.95 หมื่นล้านบาท ในช่วงต้นปี 2553 จนถึงก่อน 7 เม.ย. 2553 
ซึ่งหากตั้งสมมติฐานว่านักลงทุนต่างชาติจะขายต่อวันละกว่า 1.5-2 พันล้านบาท คาดว่าจะเห็น
แรงขายสุทธิต่อเนื่องจนสิ้นเดือน  พ.ค. และอาจต่อเนื่อง ในต้นเดือน มิ.ย.  นี้

อุปสรรคทางการเมือง ยังมีอีกหลายด่าน 
            แม้อุปสรรคทางการเมือง ได้ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงจากการชุมนุมในช่วงที่ผ่านมา แต่
หากมองไปข้างหน้าแล้ว เชื่อว่ารัฐบาลยังต้องเผชิญกับปัญหาที่ต้องผ่านอีกหลายด่าน เริ่มจาก 1)
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และ 2) การตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ของศาลรัฐธรรมนูญ   และ
3) การปฏิบัติตามแผนปรองดอง ซึ่งส่วนหนึ่งของแผนปรองดอง มีเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รวมอยู่ด้วย สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทย จะยื่นญัตติต่อ
ประธานรัฐสภาในวันนี้ (24 พ.ค.2553) และคาดว่าจะอภิปรายในช่วงของการเปิดประชุมสภา
สมัยวิสามัญเพื่อพิจารณางบประมาณช่วงปลายเดือน พ.ค.2553 ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประเมินจากระดับ
ความร่วมมือของพรรคร่วมรัฐบาลและรายชื่อของรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายฯ แล้วเชื่อว่ารัฐบาลน่า
จะผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปได้ อย่างไรก็ตามประเด็นที่อาจจะบั่นทอนเสถียรภาพรัฐบาล คือ
เรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะอาจจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น
การตัดสินใจยุบสภาฯ ก่อนหรือการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองได้ หากศาลมีคำสั่งให้ยุบพรรค และอีก
ด่านหนึ่งที่ต้องจับตาคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรองดองฯ เนื่องจากความ
เห็นในเรื่องดังกล่าวมีค่อนข้างหลากหลายและอาจนำมาซึ่งความแตกแยกได้  ทั้งนี้หากจะ
พิจารณาโดยภาพรวมทางการเมือง เห็นว่าถึงแม้จะผ่านเรื่องการชุมนุมใหญ่ไปได้ แต่ก็ยังมีอีก
หลายเหตุการณ์ที่สร้างแรงกดดัน และอาจมีผลทำให้ SET Index ผันผวนได้ในอนาคต แต่อย่าง
ไรก็ตามหากพิจารณาพื้นฐานของประเทศคาดว่า PER 12-13 เท่า น่าจะเป็นระดับที่เหมาะสม
หรือในกรณีเลวร้ายไม่น่าจะต่ำกว่า  711-770 จุด ในระยะ 1 เดือนข้างหน้า 

หุ้นโรงแรมยังต้องหลีกเลี่ยง CPN, ERAWAN, CENTEL ยกเว้น MAJOR/BEC เริ่มกลับ
มาปกติ
             อุตสาหกรรมที่คาดว่ายังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมายังคง
กระจุกตัวในหุ้นเดิม ๆ คือ โรงแรม เพราะนอกจากต้องหยุดให้บริการในช่วงที่ผ่านมาแล้ว การฟื้น
ความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังต้องใช้เวลาอีกนานหลายเดือน ทำให้ความคาดหวัง
ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวในช่วง 4Q53 ดูจะริบหรี่ลง จึงทำให้นักวิเคราะห์ ASP ได้
ปรับลดน้ำหนักเป็นน้อยกว่าตลาด  ส่วนหุ้นรายตัวจะทำการทบทวนประมาณการปี 2553 และ
2554 อีกครั้ง  โดยคาดว่า ERAWAN (ถือ:FV@B2.16) กระทบมากสุด เพราะโครงสร้างราย
ได้กระจุกตัวในอุตสาหกรรมโรงแรมราว 90% ของรายได้รวม ตามมาด้วย CENTEL
(ถือ:FV@B3.84)  ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ Central World เพราะแม้โรงแรมเซ็นทาราแก
รนด์ จะไม่ได้รับความเสียหาย แต่อยู่ในพื้นที่อันตรายจะยังไม่สามารถให้บริการได้จนกว่าจะมีการ
ปรับปรุงพื้นที่ใกล้เคียงอีกระยะหนึ่งซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลานาน 6 เดือน ยกเว้น MINT
(ซื้อ:FV@B9.7) ที่กระทบน้อยสุด เพราะโครงสร้างรายได้กระจายตัวดีที่สุด  นอกจากนี้แนะนำ
ชะลอการลงทุนใน CPN (ถือ :FV@B23.7) เนื่องจากได้ปรับประมาณการลงจากเดิมราว 23%
ในปี 2553 และ ลดลงอีก 17% ในปี 2554 เพราะได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ Central World
มากที่สุด   ทั้งนี้ยกเว้น MAJOR (ซื้อ:FV@B11.5) และ BEC(ซื้อ:FV@B27) คาดว่าน่าจะ
กลับมาดำเนินงานปกติ หลังจากที่ได้รับผลกระทบในช่วงที่ผ่านมา 
 
หุ้นน้ำมัน/โรงกลั่นยังผันผวน จากความต้องการโลกชะลอตัวจากยุโรป 
             ค่าเงินยูโรฟื้นตัวช่วงสั้นหลังจากแต่จุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี (1.2178 ดอลลาร์ต่อยูโร) โดย
ล่าสุดขึ้นมายืนที่ 1.25 ยูโรต่อดอลลาร์ ทั้งนี้เนื่องจากประเทศเยอรมัน มีข้อสรุปในการสนับสนุน
การรักษาเสถียรภาพของเงินยูโรในวงเงิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (แม้ปัญหาการบริหารและ
จัดการสภาพคล่องของประเทศที่เป็นต้นตอของปัญหา โดยเฉพาะในกรีซ ยังเป็นปัจจัยบั่นทอน
ความเชื่อมั่น และฟื้นตัวต่อเศรษฐกิจยุโรป และเศรษฐกิจโลกในระยะสั้น) ส่งผลให้ Dollar
Index กลับมาอ่อนค่าในระยะสั้น หลังจากทำสถิติสูงสุดที่  87.458 จุด  ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ช่วย
ดึงให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าไนเม็กซ์ ฟื้นตัวหลังจากทำจุดต่ำสุดที่ 64.48 เหรียญฯต่อ
บาร์เรล ขึ้นมาที่ 68 เหรียญฯ ในเช้าวันนี้ เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังจากที่ทำจุดต่ำ 68
เหรียญฯต่อบาร์เรล ได้ฟื้นตัวมาที่ 70 เหรียญฯ อีกครั้งในเช้านี้ ซึ่งคาดว่ายังคงกดดันให้หุ้นปิโต
รเลี่ยมมีความผันผวนสูง (PTTEP และ BANPU) ดังนั้นหากราคาหุ้นเหล่านี้อ่อนตัวลง แนะนำให้
สะสม โดยเฉพาะ PTTEP คาดว่าจะมีแนวรับที่ 142-144 บาท ส่วนหุ้นโรงกลั่นไม่สดใสตามที่
คาด สะท้อนจากค่าการกลั่นยังคงทรงตัว 4-5 เหรียญฯ ซึ่งต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยเคยคาดว่าจะทำสถิติ
สูงสุดในระดับ 10 เหรียญฯ แม้เอยู่ในช่วง Driving Season เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาการ
เงินในยุโรป  ประกอบกับนักวิเคราะห์หุ้นพลังงานคาดหมายว่า หุ้นโรงกลั่นอาจจะต้องบันทึกผล
ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบไหลลงต่ำ หรือทรงตัวในระดับ  70
เหรียญฯต่อบาร์เรล ถึงสิ้นงวด 2Q53 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันใน 1 เดือนสุดท้ายของงวด
1Q53 ที่ 77.41 เหรียญฯต่อบาร์เรล ถึง 7.41 เหรียญฯต่อบาร์เรล (การคำนวณกำไร/ขาดทุน
จากสต๊อกน้ำมันของกลุ่มโรงกลั่นส่วนใหญ่จะใช้ราคาน้ำมันที่อ้างอิงจากค่าเฉลี่ยใน 1 เดือนสุด
ท้ายของไตรมาสปัจจุบันเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า) จึงแนะนำให้ทยอยลดน้ำหนักหุ้นโรงกลั่นดัง
ต่อไปนี้คือ  TOP (Fair Value  54.81 บาท), PTTAR (Fair Value 29.65 บาท), IRPC
(Fair Value 4.77 บาท)

ต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ เช่นเดียวกับตลาดเพื่อนบ้านในเอเซีย 
              ความกังวลต่อวิกฤติการเงินยุโรป ต่อเศรษฐกิจโลกได้กดดันให้ตลาดหุ้นปรับฐานทั่ว
โลก สะท้อนจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ มีสถานะขายสุทธิในทุกตลาดในเอเซียและเพิ่ม
มากขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า นำโดยตลาดหุ้นเกาหลี ขายสุทธิ 1,922 ล้านเหรียญฯ  รองลงมาเป็น
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ขายสุทธิ 1,453 ล้านเหรียญฯ ตามมาด้วยตลาดหุ้นไต้หวัน ขายสุทธิ 906 ล้าน
เหรียญฯ ตลาดหุ้นอินเดีย ขายสุทธิ 794 ล้านเหรียญฯ ตลาดหุ้นไทย ขายสุทธิ 357 ล้านเหรียญฯ
ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ขายสุทธิ 274 ล้านเหรียญฯ และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ขายสุทธิ 30 ล้าน
เหรียญฯ กดดันให้ตลาดหุ้นเอเซียปรับตัวลดลงราว -4.59% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยลดลงเพียง
0.42% เนื่องจากปิดทำการเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นตลาดหุ้นไทยแม้ได้รับปัจจัยบวกสั้นๆ จากการ
เมืองที่คลี่คลายลง แต่การตลาดยังไม่ตอบรับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มยุโรป เช่น
ตลาดอื่นๆ ทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจทำให้ตลาดเกิดแรงขายอย่างหนักหน่วงของนักลงทุน
ต่างชาติได้ ในสัปดาห์นี้ 
            
เข้าชม: 1,566

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com