May 7, 2024   2:08:20 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เสี่ยอ้วน" จะเก็บ VIBHA เพิ่ม(อีก)
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 22/07/2006 @ 17:29:32
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หลังจากกลุ่มของ ชัยสิทธิ์ วิริยะเมตตากุล หรือ เสี่ยอ้วน กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลวิภาวดี (VIBHA) ได้เข้าไปรับซื้อหุ้นคืนจาก กมล เอี้ยวศิวิกูล เป็นจำนวน 50.4 ล้านหุ้น (8.62%)



...และส่งผลให้เครือข่ายของ เสี่ยอ้วน มีสัดส่วนหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 15.97% เป็น 20.86%

ชัยสิทธิ์ กล่าวถึงสัดส่วนหุ้นใน VIBHA ขณะนี้ว่า แม้ตอนนี้ครอบครัวของผมเข้ามาถืออยู่แล้วกว่า 20% แต่ก็ยังตั้งใจว่าในอนาคตคงจะถือมากกว่าเดิม เพราะเรา(โรงพยาบาล)ยังอยู่ในช่วงของการสร้างฐานะ

ด้วยอุปนิสัยเป็นคนชอบสะสมหุ้น แต่ช่วงนี้ภาวะตลาดไม่ค่อยดี...หันไปหันมาก็เห็นว่าหุ้นของเรามันยังถูก ผมก็ต้องเลือกที่จะสะสมหุ้นตัวเอง ถ้าหุ้นของเราขนาด เจ้าของ ยังไม่กล้าซื้อแล้วนักลงทุนที่ไหนจะกล้าซื้อ แล้วเราเองก็เชื่อว่ากำไรของเราปีนี้ยังเติบโต

คอยดูแล้วกัน...ในอนาคตผมจะถือหุ้น VIBHA มากกว่านี้อีก ชัยสิทธิ์ ยืนยัน

สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้น VIBHA ที่เริ่มหนาแน่นเป็นระยะ เขามองว่า น่าจะเป็นเรื่องของเหตุผลทางด้านราคามากกว่า

เมื่อราคามันลงคนก็เข้าไปซื้อ...แม้แต่ผมก็ซื้อ เพราะเชื่อว่าราคา VIBHA ตอนนี้ยังไม่แพงสำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะซื้อเพื่อลงทุน

เขาอธิบายต่อไปถึงเทคนิคในการ ปั้นหุ้น VIBHA เพื่อสร้างให้เป็นหุ้นที่มี สภาพคล่อง เพียงพอ หรือจูงใจต่อการซื้อขายในตลาดหุ้นโดยวางแผนไว้ว่า ต่อไปจะทำให้หุ้นสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุน ทุกๆรอบ 3 เดือน หรือทำให้ได้ปีละ 4 ครั้ง

จะเรียกว่าเป็นการลอกโมเดลของ ไดนาสตี้เซรามิค (DCC) ก็อาจไม่ผิดนัก (ชัยสิทธิ์ ถืออยู่ 7.95%) เพราะที่นั่นเขาจ่ายปันผลให้ 4 ครั้งต่อปี ก็ถือเป็นการดูแลผู้ถือหุ้นได้ในลักษณะที่ดี

เพราะฉะนั้น อย่างน้อยๆ เราก็อาจจะเริ่มต้น ตั้งแต่ปี 2550 โดยตั้งใจจะปันผลสัก 2 ครั้ง...ก็ยังดี จากนั้นจึงค่อยหาวิธีว่าจะเป็น 4 ครั้งได้ยังไง เพื่อให้คนที่เขามาลงทุนไว้กับเราได้ชื่นใจ

ช่วงที่ผ่านมาถึงตอนนี้ ทางโบรกเกอร์อาจมองว่าหุ้นโรงพยาบาลของเรามีอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) สูงมาก (24 เท่า) เขาก็หันไปเชียร์หุ้นตัวอื่นแทน

แม้ว่าหุ้นของเราตอนนี้ P/E จะสูง แต่ในแง่ของราคาและกำไร...ผมเชื่อว่าเรามั่นคงกว่า หนี้สินต่อสินทรัพย์ก็ต่ำมาก เพราะเราค่อยๆสร้าง จึงต้องใช้เวลาหน่อย แต่แข็งแรง

ชัยสิทธิ์ ย้ำถึงความมั่นใจส่วนตัวว่า หุ้นโรงพยาบาลแห่งนี้จะต้องมีอนาคตที่ดี แม้ตอนนี้ P/E จะสูง แต่ผมจะทำให้ดูว่ามันสมเหตุสมผล เพราะอย่างน้อยๆถ้าเราสามารถบริหารให้โรงพยาบาลมีผลกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกอย่างก็คงเข้าที่เข้าทางเอง

และจะเห็นว่าช่วงปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงปีนี้ ผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลทุกแห่งก็ยังคงเติบโตอยู่ ...แต่ยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่คลี่คลายกระทบถึงเศรษฐกิจ และทำให้เงินในกระเป๋าประชาชนน้อยลงไป ส่งผลถึงปริมาณคนไข้ที่มานอนพักรักษาที่โรงพยาบาลอาจลดน้อยลง

แต่คนป่วย ยังไงก็ต้องป่วย

โดยเฉพาะช่วงเดือน มิถุนายน-กันยายน ของทุกๆปี ถือว่าเป็นช่วง ไฮ ซีซัน ที่สุดของธุรกิจโรงพยาบาล ด้วยอาจเพราะเป็นฤดูฝน ทำให้มีอัตราคนไข้มารักษาและนอนพักที่โรงพยาบาลหนาแน่นกว่าช่วงอื่นๆ

ตอนนี้เรามีเตียงประมาณ 350 เตียง มีอัตราการใช้เฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีที่ 170-200 เตียงต่อวัน แต่ตอนนี้ปริมาณคนไข้เพิ่มมากขึ้น เฉพาะแค่เดือนกรกฎาคมปีนี้...คนไข้ถึงกับต้องเข้าคิวรอเตียง ส่วนคนไข้(นอก)ที่เข้ามารับบริการรักษาที่โรงพยาบาลก็ตกเฉลี่ยถึงวันละกว่า 1,200 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงกว่าปีที่ผ่านมา

สำหรับความคืบหน้าในการเจรจาซื้อที่ดินเพิ่ม (แปลงหัวมุมติดถนนวิภาวดี) มูลค่า 123 ล้านบาท คงต้องรอดูผลช่วงเดือนกันยายนปีนี้

ตอนนี้ธนาคารอนุมัติเงินล่วงหน้าให้เราไว้ 90% ของราคาที่ดิน โดยจะปลอดดอกเบี้ย 1 ปี หากได้แปลงนี้เข้ามาธุรกิจของเราก็จะขยายตัวอีกมาก แต่หากซื้อไม่ได้เราก็คงไม่เดือดร้อน เพราะไม่กระทบอะไรต่อแผนอนาคต

นอกจากนี้ ปี 2550 โรงพยาบาลจะเดินหน้าในเรื่องของ ศูนย์มะเร็ง และต่อไปจะเข้าสู่การสร้าง ศูนย์สเต็มเซลล์ พร้อมกับร่วมมือกับประกันสังคมเพื่อรองรับผู้ประกันตนให้ได้ถึง 500,000 คน ซึ่งจุดนี้จะทำให้มีรายได้เข้ามามากขึ้น

และตอนนี้ ศูนย์โรคหัวใจ ของโรงพยาบาลก็สามารถเปิดทำการรักษาได้แล้วไม่ว่าจะเป็นการทำบอลลูน หรือทำบายพาร์ทเส้นเลือดหัวใจ

เพราะฉะนั้น ในอนาคตถ้ามีคนไข้เป็นโรคใหญ่ๆเข้ามา เราจะสามารถรับไว้รักษาได้ทั้งหมด

ครั้งหนึ่ง ชัยสิทธิ์ เคยกล่าวไว้ว่า นับตั้งแต่ตัวเขาอาสาเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆที่โรงพยาบาลวิภาวดี กระทั่งโรงพยาบาลสามารถเดินมาได้ไกลถึงวันนี้...หากเราไม่ลงทุน(ขยายงาน)เพิ่มเราก็ยังสามารถรองรับอนาคตต่อไปได้ถึง 5 ปี

แต่งานของผมวันนี้ได้เปลี่ยนบทบาทไปแล้ว มันไม่ใช่งานแก้...แต่เป็นงานสร้าง เรากำลังมองไปไกลเป็น 10 ปี เพื่อพยายามที่จะสร้างให้ธุรกิจตัวนี้สามารถเติบโตเป็นเท่าตัว


ที่มา กรุงเทพธุรกิจBizweek[/color:0e72a26dd4">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com