เปิดพิมพ์เขียว ป่องทรัพย์ ทางถอย กิตติ์ยาใจ ตรีเอกวิจิตร

ป่องทรัพย์ ถูกค่าลิขสิทธิ์และหนังละเมิดลิขสิทธิ์ถล่มราคาหุ้น ร่วงติดพื้น
กิตติ์ยาใจ งัดกลยุทธ์ลดต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ ตัดสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ เสี่ยเจียง (ชั่วคราว)
เปลี่ยนชื่อเพื่อปรับภาพลักษณ์ใหม่..ส่งสัญญาณหุ้นใกล้ ยู-เทิร์น

เส้นทางของ บมจ.ป่องทรัพย์ (PSAP)
หรือชื่อเดิม แมงป่อง (PONG) กำลังเดินเข้าสู่ทางแยกอีกครั้งหนึ่ง...

ภายหลังแผนธุรกิจ แปลงโอกาส (ลิขสิทธิ์) ให้เป็นเงิน
ของ กิตติ์ยาใจ ตรีเอกวิจิตร (เจ้าของบริษัท) เริ่มสะดุด
จากต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ที่สูง แต่ยอดจำหน่ายกลับถดถอย
ส่วนสำคัญเกิดจากปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ

สัญญาณที่ เจ้าแม่วงการหนังแผ่น ส่งออกมาเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2549 ที่ผ่านมา
คือ การยกเลิกสัญญาซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์กับบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
ของ เสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) จึงมีผลก่อนกำหนดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2549

จิ๊กซอว์ที่ กิตติ์ยาใจ ต่อ ...
เห็นได้ชัดว่าเธอกำลัง โยนปัญหา (ละเมิดลิขสิทธิ์) กลับไปที่ เสี่ยเจียง
เพื่อประโยชน์ในการ ต่อรอง ราคาค่าลิขสิทธิ์ที่แพงลิบลิ่วในช๊อตต่อไป

จะว่าเป็น แผนเหนือชั้น ที่มองข้ามช็อตของ กิตติ์ยาใจ ก็ไม่ผิด

แต่ถ้ามองอีกมุมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอพลาด

กิตติ์ยาใจ อาจมองว่าเธอต้องเดินไปสู่ การผูกขาดอย่างถูกกฎหมาย
โดยลืมนึกไปว่า เครือข่ายสาขา ของเธอ เทียบไม่ได้กับ สินค้าใต้ดิน
ที่กลาดเกลื่อนอยู่ในตลาด

สตอรี่ใหม่ของ แมงป่อง เมื่อปี 2547-2548 คือ การตั้งงบลงทุนไว้สูงถึง 800 ล้านบาท
เพื่อนำไปซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ จำนวน 300 เรื่อง
และภายในปี 2550 กิตติ์ยาใจ วางเป้าขยายสาขาให้ครบ 500 แห่ง
(ปัจจุบันที่มีสาขาอยู่ 326 แห่ง)

ทางโตที่เธอเชื่อขณะนั้น การดึง เสี่ยเจียง เจ้าพ่อแห่งวงการภาพยนตร์ มาเป็น พวก
โดยตั้งงบซื้อหนังของ สหมงคลฟิล์ม ในช่วง 2 ปี (2547-2548) ด้วยงบสูงถึง 400 ล้านบาท
โมเดลธุรกิจแบบนี้ เสี่ยเจียง จะกลายเป็น เสือนอนกิน
ตรงกันข้ามกับ แมงป่อง ที่ต้องเสี่ยงอยู่เพียงฝ่ายเดียว

ล่าสุด กิตติ์ยาใจ ตรีเอกวิจิตร
ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ป่องทรัพย์ เปิดเผยกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า
จากนี้ไปแนวทางการ ซื้อลิขสิทธิ์ ของบริษัทจะรัดกุมมากขึ้น
โดยหากเป็นการซื้อสิทธิ์ขาด เพื่อนำมาผลิตหนังแผ่น 5 ปี
ค่าลิขสิทธิ์จะต้อง มีส่วนลด มากกว่า 30-50% จากราคาปัจจุบัน

ขณะที่หนังบางเรื่องที่คาดหมายว่าจะได้รับความนิยม
อาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการซื้อสิทธิ์ขาด มาเป็นการจ่ายส่วนแบ่งตามยอดขาย

กลยุทธ์ดังกล่าวก็เพื่อบริษัทจะไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุน ค่าใช้จ่ายคงที่ เอาไว้สูงเกินไป
แต่ต้องไป วัดดวง กับการขายที่ไม่แน่นอน

ขณะที่คู่แข่งอย่าง บมจ.ซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์
เลือกใช้แนวทางแบ่งผลประโยชน์ จึงมีความเสี่ยงทางธุรกิจน้อยกว่า

นับตั้งแต่ปี 2547-ไตรมาส 1/2549 ผลการดำเนินงานของ ป่องทรัพย์ ถดถอยลงในอัตราที่น่าวิตก
จากมีกำไรสุทธิ 100.04 ล้านบาท ในปี 2547 ลดลงเหลือ 4.34 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา
และขาดทุน 91.82 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1/2549

ผลพวงมาจากปัญหา การตัดจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ที่กัดกร่อนฐานะการเงินของบริษัท

การขาดทุนในไตรมาสแรก เนื่องจากเราไม่สามารถทำยอดขายได้ทันการตัดจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ที่สูงถึง 135 ล้านบาท
จากที่ต้นปีเรารับหนังใหม่เข้ามามาก โดยหลักการตัดจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ในปีแรกต้องตัด 50%
ปีที่ 2 ตัด 33% และต้องตัดที่เหลือให้หมดในปีที่ 3

อรรถพล ตริตานนท์ รองประธานกรรมการบริหาร บมจ.ป่องทรัพย์ ยอมรับ

ก่อนหน้านี้ กิตติ์ยาใจ พยายามแก้ปัญหายอดขาย ด้วยการ ลดราคาสินค้า ลงมา
โดยหนังดีบางเรื่องยอมตัดราคาเหลือเพียงแผ่นละ 45-50 บาท
แต่ยอดจำหน่ายหน้าร้านก็ไม่กระเตื้องขึ้น

จากเดือนหนึ่งที่เคยทำยอดขายเฉลี่ย 130-150 ล้านบาท
ยอดรายได้ในปี 2549 กลับลดลงเหลือเฉลี่ยเพียงเดือนละ 100 ล้านบาทเท่านั้น
ทำให้ ป่องทรัพย์ ต้องปรับเป้ารายได้ปีนี้ลงมาจาก 2,000 ล้านบาท
เหลือ 1,700 ล้านบาท (เท่ากับปี 2548)

ถ้าดูจากผลงาน ไตรมาสแรก แทบจะฟันธงได้เลยว่า
แม้แต่ตัวเลข 1,700 ล้านบาท ก็ยังมีโอกาส พลาดเป้าสูง ขณะที่ตัวเลข กำไร ก็หวังยากเต็มที

นอกจากเกมการต่อรองค่าลิขสิทธิ์ ที่ กิตติ์ยาใจ งัดมาใช้แล้ว
การขยายสาขาให้ครบ 500 แห่ง ภายในปี 2550 ก็ หยุดลง ด้วย
และมีแนวโน้มสูงที่จะหันมา ปิดสาขา ที่ไม่ทำกำไร และหันมา ลุย ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมากขึ้น

ส่วนการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก แมงป่อง เป็น ป่องทรัพย์ นั้น
กิตติ์ยาใจ อธิบายว่า เหตุผลจริงๆ ของการเปลี่ยนชื่อ
เนื่องจากต้องการ ปรับภาพลักษณ์ของบริษัทใหม่ ไม่ให้ยึดติดกับการเป็นแค่ ศูนย์จำหน่าย-เช่า
ทั้งๆ ที่ความจริงเรามีรายได้จากทางอื่นควบคู่ไปด้วย ทั้ง ค่ายเพลง และ ค่ายหนัง

บริษัทมีบริษัทย่อยสร้างหนัง ได้แก่ บริษัท นครไทย พิคเจอร์,
บริษัท แมงป่อง พิกเจอร์ และค่ายเพลง คือ บริษัท ดัง ดัง, บริษัท ไฮเยส มิวสิค
และบริษัท พิจิก เรคคอร์ด ซึ่งล่าสุดได้มีการดึงตัว เอกราช สุวรรณภูมิ นักร้องลูกทุ่งดังเข้าค่าย

ตอนนี้นักลงทุนยังไม่เข้าใจ
ทุกคนยังเห็นว่าเราเป็นแค่ Outlet (ร้านค้า) ชื่อแมงป่อง
แต่ความจริงเรามีธุรกิจหลากหลายทั้งเพลงและหนัง รวมไปถึง Mega Store และ Walk-in Warehouse

ซึ่งในส่วนของ Mega Store ตั้งอยู่บนพื้นที่ของบริษัทพัชรโสตถิรักษ์ ของ กิตติ์ยาใจ
โดยเพิ่งจะมีการอนุมัติวงกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย จำนวน 350 ล้านบาท
เพื่อนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียน ชำระค่าลิขสิทธิ์ และตกแต่งอาคารสำนักงาน

จากราคาจอง 7 บาท (ต.ค.2547) ครั้งนั้น
หุ้นได้รับความสนใจจากคนดัง ไม่ว่าจะเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
บรรณพจน์ ดามาพงศ์
และ ทวีฉัตร จุฬางกูร

วันนี้ราคาหุ้น PSAP ร่วงลงมาเหลือ 1.1-1.2 บาท
ท่ามกลางสัญญาณการปรับตัวขนานใหญ่ของบริษัท ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

หรือเป็นการส่งสัญญาณว่า หุ้น PSAP ใกล้จะถึงจุด ยู-เทิร์น อีกครั้ง
ภายใต้ บทเรียนราคาแพง ทางธุรกิจของ กิตติ์ยาใจ ตรีเอกวิจิตร
ที่วันนี้เธอรู้แล้วว่า..เธอพลาดตรงจุดไหน

.000c DVD VCD อัดเสียงได้ห่วยมาก ๆ อ่ะ ดูแล้วเสียอารมณ์ .000c