ในเมื่อมนุษย์ทุกคน ต่างมีสองมือ สองเท้าเท่ากัน
แต่ทำไมบางคนถึงสามารถสร้างตัวขึ้นจนเป็นมหาเศรษฐี ขณะบางคนยังจนซ้ำซาก
เพื่อหาคำตอบดังกล่าว ลองศึกษาจุดพลิกชีวิต ของบรรดามหาเศรษฐี ดูว่า
ทำไมถึงเป็นคนที่เก่งบวกเฮง มีทรัพย์สินมหาศาลได้

นับแต่สยามประเทศ โดนบีบให้เปิดเสรีการค้า ภายใต้สนธิสัญญาเบาว์ริง สมัยรัชกาลที่ 4
ไม่ต้องซื้อขายสินค้าผ่านพระคลังสินค้าของกษัตริย์ ขุนนาง และเจ้านายสยาม
การค้าของเมืองไทยก็เข้าสู่ระบบอุปถัมภ์ ประเภท สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง
พ่อค้าที่ร่ำรวยส่วนใหญ่ จะมั่งคั่งได้ ต้องค้าขายผ่านระบบสัมปทานผูกขาด ตัดตอน จากกลุ่มการค้า
เช่น การค้าฝิ่น ค้าสุรา ค้าไม้ ค้าทรัพยากรธรรมชาติ ไปจนถึงอบายมุขต่างๆ

มาถึงการค้ายุคโลกาภิวัตน์ พ่อค้าต้องมี นวัตกรรม เทคโนโลยี การบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ
จึงจะสามารถสร้างและรักษาความมั่งคั่งให้กับกลุ่มของตนต่อไปได้
ขนาดติดอันดับ 40 อภิมหาเศรษฐีที่รวยสุดของเมืองไทย
ภายใต้การจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ โดยประเมินจากหุ้นที่ถือในบริษัท ส่วนตัว
และที่เป็นกิจการมหาชนในตลาดหุ้น มาใช้จัดอันดับความรวย

แม้เศรษฐีระดับโลก อย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะบอกว่า อันดับเศรษฐีของฟอร์บส์ เป็นเรื่องไร้สาระ
แต่การสร้างความร่ำรวยของ 40 เศรษฐีไทย ก็นับว่ามีมุมให้ศึกษาไม่น้อย ถึงจุดพลิกของชีวิตแต่ละคน
ให้ขึ้นมาติดอันดับท็อปโฟร์ตี้อภิมหาเศรษฐีไทยได้อย่างไร

เริ่มจากแชมป์ที่รวยสุดในเมืองไทย ตามการจัดอันดับของฟอร์บส์ คือ ราชันน้ำเมา ?เจริญ สิริวัฒนภักดี?
ที่มีชื่อในวัยเด็กว่า เคียกเม้ง แซ่โซว บิดาเป็นคนขายหอยทอด
เจริญ เริ่มค้าขายจริงจังเมื่ออายุ 18 ปี เป็นตัวแทนบริษัทย่งฮะเส็งฯ เข้าไปขายของให้กับโรงงานสุราบางยี่ขัน
ฝากเนื้อฝากตัวกับ เถลิง เหล่าจินดา หนึ่งในสามของบริษัทสุรามหาคุณ
ที่ก่อตั้งร่วมกับ อุเทน เตชะไพบูลย์ และ สหัส มหาคุณ
จากนั้นเมื่อโรงงานสุราหมดสัมปทาน ได้เกิดการแข่งขันประมูลสัมปทานสุราของรัฐกันเอง
ระหว่าง กลุ่มเถลิง-สหัส-เจริญ แข่งกับกลุ่มเตชะไพบูลย์ ทำให้เกิดยุทธการหงส์บินสู้กันจนไม่มีเงินใช้เจ้าหนี้
พี่ใหญ่อย่างอุเทน ต้องลงมาห้ามทัพ สงบศึก
ด้วยการรวมธุรกิจเหล้าที่ต่างประมูลได้แล้วสลับกันบริหาร ก่อนที่เตชะไพบูลย์จะถอนตัวไป

หลังจาก เจริญ เป็นแกนนำยึดธุรกิจเหล้า ก็ได้ขยายเข้าสู่ธุรกิจเบียร์
ซึ่งช่วงนั้นเหล้ามีมูลค่าตลาดปีละกว่า 4 หมื่นล้านบาท ขณะเบียร์มีมูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านบาท
และด้วยเครือข่ายกระจายสินค้าเหล้าที่แข็งแกร่ง ทำให้ เจริญ ใช้กลยุทธ์ขายเหล้าพ่วงเบียร์ช้าง ซึ่งเป็นเบียร์ใหม่
เพื่อไปสู้กับเบียร์สิงห์ที่ขายมาก่อน 60 ปี จนสามารถเป็นผู้นำในตลาดเบียร์
และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สิงคโปร์
ซึ่งฟอร์บส์ประเมินว่า กลุ่มเจริญมีทรัพย์สิน 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.2 แสนล้านบาท

ถัดมาอันดับรองเศรษฐีเมืองไทย ?เฉลียว อยู่วิทยา? คนไทยเชื้อสายจีนไหหลำ จากจังหวัดพิจิตร
โกเหลียว เกิดในครอบครัวยากจน อาชีพเลี้ยงเป็ด ค้าขายเล็กๆ น้อยๆ
จากนั้นเข้ามาในกรุงเทพฯ ช่วยพี่ชายทำงานร้านขายยา
เป็นเซลส์แมนขายยา ออริโอมัยซิน ของบริษัทเอฟ.อี.ซิลลิคฯ
จากนั้นออกมาเป็นตัวแทนนำเข้ายามาจำหน่ายเอง ขยับมาตั้งโรงงานผสมยาอยู่หลังโรงแรมรัตนโกสินทร์ ราชดำเนิน
จากนั้นตั้งบริษัท ทีซีมัยซิน ช่วงแรก ผลิตแป้งแทตทู ยาเด็กเบบี้ดอล ก่อนจะมาถึงเครื่องดื่มกระทิงแดง
ด้วยการทำตลาดแบบถึงลูกถึงคน ทำให้กระทิงแดงตีตลาดเครื่องดื่มชูกำลังขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ของตลาด
และต่อยอดไปต่างประเทศ เมื่อนักธุรกิจใหญ่จากออสเตรีย
ได้ลิ้มรสชาติแล้วเกิดติดใจ ขอนำสูตรไปร่วมทุนผลิตขายแถบยุโรปด้วยยี่ห้อ เรดบูล
ทำให้ กระทิงแดง หรือ เรดบูล โด่งดัง ข้ามชาติ และเฉลียวมีสินทรัพย์ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.02 แสนล้านบาท

มาถึงท็อปทรีของเศรษฐีไทย เจ้าสัว ?ธนินท์ เจียรวนนท์?
เริ่มต้นจากการขายเมล็ดพันธุ์พืช ในนามของบริษัทเจียไต๋
จากนั้นก็ค่อยๆ แตกไลน์ผลิตอาหารสัตว์ ในนามของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซี.พี.
นำการเลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรมมาเลี้ยงไก่ในเมืองไทย
ทำให้ไก่จากเดิมที่ราคาแพง กลายเป็นสินค้าที่ประชาชนทั่วไปซื้อรับประทานได้

จากนั้นได้ต่อยอดธุรกิจจากผู้ผลิตวัตถุดิบพืชสัตว์
มาแปรรูปเป็นอาหาร และเปิดร้านค้าอาหาร ทั้งสด และสำเร็จรูปในชื่อต่างๆ เช่น ไก่ย่างห้าดาว
เรียกได้ว่าคุมการผลิตตั้งแต่ต้นทางถึงร้านขายไปจนถึงผู้บริโภค
โดยธุรกิจค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จของกลุ่มซี.พี. คือร้านชำติดแอร์ เซเว่นอีเลฟเว่น
แม้จะต้องขายหุ้นในโลตัส ให้ผู้ร่วมทุนเทสโก้ จากอังกฤษไป
นอกจากนี้ ได้ขยายลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคมในชื่อบริษัทเทเลคอมเอเชีย
ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นทรู คอร์ปอเรชั่น แต่กำไรหลักของ ซี.พี. ยังคงอยู่กับกลุ่มอาหาร
ด้วยแนวคิดในการทำธุรกิจ ที่ทำทุกอย่างให้เป็นแมสขายคนจำนวนมาก
ทำให้ ธนินท์ มีสินทรัพย์ 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 8.7 หมื่นล้านบาท

ขณะอันดับสี่ ?พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร? นายกรัฐมนตรี
แม้จะเริ่มเส้นทางชีวิตจากวงการสีกากี และทำธุรกิจครอบครัวขายกาแฟ
เป็นสายหนัง นำภาพยนตร์ไปฉายในภาคเหนือ
แต่เมื่อสบช่องคลื่นลูกที่สามของเทคโนโลยีที่ ถาโถมเข้าเมืองไทย
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ลาออกมาทำธุรกิจที่เป็นฐานสำคัญให้ร่ำรวยถึงปัจจุบัน
โดยเข้าสู่ธุรกิจไอที ให้บริการเช่าเครื่องและโปรแกรมคอมพิวเตอร์แก่หน่วยงานราชการ
จากนั้นขยายเข้าวงการโทรคมนาคม ให้บริการวิทยุติดตามตัว ยี่ห้อแพคลิ้งค์ ก่อนขยายไป โทรคมนาคมอื่นๆ
จนประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ภายใต้ชื่อบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส
เป็นผู้นำเปลี่ยนระบบโทร.มือถือจาก อะนาล็อก มายุคดิจิตอลในปัจจุบัน
พร้อมมองการณ์ไกลคุมการสื่อสารในอวกาศ ด้วยการประมูลโครงการดาวเทียม
ยิงดาวเทียม ดวงแรกของไทยในชื่อ ไทยคม มาจนถึง ไอพีสตาร์
จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าสู่วงการเมือง ด้านธุรกิจก็ขยายเข้าไปวงการสื่อด้วยการซื้อกิจการไอทีวี
ร่วมทุนมาเลเซียทำสายการบินไทยแอร์เอเชีย ตั้งธุรกิจบริการสินเชื่อ แคปปิตอล โอเค
ก่อนจะขายหุ้น ทั้งชินคอร์ป ให้กับกลุ่มเทมาเซก สิงคโปร์ มูลค่ากว่า 7.3 หมื่นล้านบาท
โดยใช้ช่องกฎหมายไม่ต้องเสียภาษี และนำไปสู่ความไม่มีจริยธรรมที่จะนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ช่วงเวลาไม่ถึง 25 ปี พ.ต.ท.ทักษิณ มีสินทรัพย์ถึง 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 8.3 หมื่นล้านบาท

ท็อปไฟว์ ตระกูล ?จิราธิวัฒน์? โดยพี่ใหญ่ วันชัย ผู้นำอาณาจักรค้าปลีก เซ็นทรัล
ที่ได้รับการปูพื้นฐานมาจากบิดา นายเตียง และพี่ใหญ่ สัมฤทธิ์ เริ่มธุรกิจซื้อมาขายไป
นำหนังสือจากต่างประเทศเข้ามาขายโรงเรียนสายคาทอลิก
จากนั้นได้ตั้งร้านเซ็นทรัล ที่สี่พระยา ปากซอยโรงแรมโอเรียนเต็ล นำสินค้าต่างประเทศเข้ามาขาย
และได้ขยายร้านไปตามชุมชนชื่อดังต่างๆ ก่อนจะขยายอย่างเต็มที่ช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
มีร้านค้าปลีกทุกประเภท เช่น ร้านชำติดแอร์ เซ็นทรัล มินิมาร์ท ห้ามสรรพสินค้าเซ็นทรัล
ศูนย์การค้าเซ็นทรัล บิ๊กซี ซูเปอร์สโตร์ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต
นอกจากนี้ได้ขยายไปผลิตสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มเสื้อผ้า
ด้วยระบบกงสีที่แข็งแกร่งของตระกูลจิราธิวัฒน์ มีการเลี้ยงคนในตระกูลอย่างเป็นระบบ
ทำให้ จิราธิวัฒน์ มีสินทรัพย์ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4.5 หมื่นล้านบาท

สำหรับเศรษฐีอันดับหก ตระกูล ?ว่อง กุศลกิจ? นับเป็นนักอุตสาหกรรมในวงการน้ำตาลเมืองไทย
เริ่มจากเป็นเกษตรกรปลูกอ้อย ขยายไปทำน้ำเชื่อมขายในยี่ห้อ ซุ่นเฮง
พอเข้าสู่รุ่นที่สอง 7 พี่น้องว่องกุศลกิจ ได้เข้าสู่อุตสาหกรรมน้ำตาล
ตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด มิตรผล ซื้อเครื่องxxxบอ้อยมาตั้งโรงงานที่ราชบุรี
จากนั้นได้แตกธุรกิจไปทำโรงแรม พัฒนาที่ดิน ในชื่อกลุ่มบริษัท อัมรินทร์ฯ
ประมูลบริหารโรงแรม เอราวัณ จากกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ได้ขยายไปทำเหมืองแร่ ในกลุ่มเหมืองบ้านปู ธุรกิจการเงิน
จนมีสินทรัพย์ 860 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3.2 หมื่นล้านบาท

อันดับเจ็ด ตระกูล ?รัตนรักษ์? นำโดย กฤตย์ รัตนรักษ์ ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
ประธานกรรมการ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง สืบทอดมรดกจาก ?ชวน รัตนรักษ์?
ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 กฤตย์ ตัดสินใจขายหุ้นใหญ่ในปูนซีเมนต์นครหลวงให้กลุ่มโฮลเดอร์ แบงก์ สวิตเซอร์แลนด์
ได้เงินมา 9 พันล้านบาท ทำให้รักษาธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่เสมือนเป็นเสาเอกของตระกูล
รวมทั้งธุรกิจการเงินอื่นๆ ในกลุ่มอยุธยาฯต่างๆ
บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี
บริษัท มติชน บริษัท อิสเทิร์นสตาร์ เรียลเอสเตท,บริษัท มหากิจโฮลดิ้ง,
บริษัท สตรองโฮลด์ แอสเซ็ท, บริษัท บีบีทีวี แอสเซทแมเนจเม้นท์
ด้วยสูตรสำเร็จแบบอย่างทำธุรกิจที่คนในตระกูลยึดตามบรรพชน คือ ?รู้จักตน รู้จักค่า รู้จักคุณ?
ทำให้กลุ่มนี้ปัจจุบันมีทรัพย์สิน 3.5 หมื่นล้านบาท หรือ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ

ตระกูล ?ภิรมย์ภักดี? หรือกลุ่มบุญรอด บริวเวอรี่ ยักษ์ใหญ่วงการเบียร์ ยี่ห้อสิงห์
ต้นกำเนิดมาจากพระยาภิรมย์ภักดี หรือเดิมชื่อ บุญรอด
จากการเป็นคนเรียนรู้เร็ว ชอบเดินทางต่างประเทศ
ทำให้ลาออกจากการรับราชการครู มาทำงานเป็นเสมียนห้าง โรงสีไฟ โรงเลื่อยจักร
เป็นล่ามแปลภาษาอังกฤษ ค้าขายไม้สักกับญี่ปุ่น ทำป่าไม้ ทำเรือเมล์โดยสาร
สร้างโรงเรียนเศรษฐบุตรบำรุง และยื่นขอทำเบียร์เมื่อปี 2473 เข้าสู่วงการเบียร์
ออกเบียร์มาหลายยี่ห้อ ก่อนจะมาลงตัวที่ สิงห์ และขยายไปทำธุรกิจ เช่น โรงแรม สนามกอล์ฟ สายการบินพีบีแอร์
จนมีสินทรัพย์รวม 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.8 หมื่นล้านบาท

ตระกูล ?มาลีนนท์? ธุรกิจหลักเจ้าของสัมปทานสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
และมีคนของตระกูลอยู่ในวงการเมือง ตระกูลนี้จึงติดอันดับเก้าที่มูลค่าสินทรัพย์ 475 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.8 หมื่นล้านบาท ท็อปเทน
?นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ? ประธานกรรมการบริหาร กลุ่ม บริษัท ไทยซัมมิท ออร์โต้พาร์ท พี่ใหญ่ของตระกูล
รายได้หลักมาจากชิ้นส่วนรถยนต์ ค้าขายเกือบ 40 ปี
เป็นซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ให้กับ โตโยต้า ยักษ์วงการรถยนต์
จนมีสินทรัพย์ 420 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.5 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ในส่วนของเศรษฐีอันดับสิบเอ็ด คือ ?คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล? และครอบครัว
ยักษ์ใหญ่ในวงการหนังสือพิมพ์ ที่สร้างรากฐานมาจาก กำพล วัชรพล ในยุคเสียงอ่างทอง
ก่อนจะมาเป็นไทยรัฐ ในปัจจุบัน ด้วยสินทรัพย์ 375 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.4 หมื่นล้านบาท


ถัดมา 12 ?ประยุทธ มหากิจศิริ? และครอบครัว ยักษ์ใหญ่วงการกาแฟ ที่ร่วมทุนกับเนสท์เล่
และขยายมาธุรกิจทองแดง รวมทั้งมีสัมพันธ์สนิทกับรัฐบาลปัจจุบัน
มีสินทรัพย์ 365 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.3 หมื่นล้านบาท


13. อนันต์ อัศวโภคิน ยักษ์ใหญ่วงการอสังหาริมทรัพย์ ในชื่อแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
มีสินทรัพย์ 360 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.3 หมื่นล้านบาท


14.วาณิช ไชยวรรณ และครอบครัว เริ่มจากค้าพืชผลเกษตร ค้าข้าว ร่วมทุนโรงงานสุรา
ร่วมทุนตั้งโรงงานเบียร์ไฮเนเก้น ทำธุรกิจประกันในชื่อกลุ่มไทยประกัน รวมทั้งทำธุรกิจโรงแรม
มีสินทรัพย์ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.1 หมื่นล้านบาท


15.นายจำรูญ ชินธรรมมิตร ประธานกรรมการบริหาร
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของบริษัท น้ำตาลขอนแก่น
รับช่วงบริหารงานต่อมาจากพี่ชายและบิดา (ชวน) เจ้าพ่อโรงงานน้ำตาล
เดินทางมาจากซัวเถา ตั้งโรงงานน้ำตาลแห่งแรกในประเทศ เคยมีโรงงานน้ำตาลถึง 7 โรง ปัจจุบันเหลือ 3 โรงงาน
ไปลงทุนปลูกอ้อยที่ลาว และกัมพูชา มีสินทรัพย์ 285 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.08 หมื่นล้านบาท


16. วิลเลียม ไฮเนกี้ เจ้าของกลุ่มไมเนอร์กรุ๊ป
ดำเนินธุรกิจนำเข้าสินค้าแบรนด์เนมแฟชั่น ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด
มีสินทรัพย์ 280 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.06 หมื่นล้านบาท


17. ชาตรี โสภณพนิช และครอบครัว ผู้บริหารธนาคารใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ
ที่ปูพื้นฐานมาตั้งแต่รุ่น ชิน ขยายธุรกิจจนมีกว่า 200 บริษัทในเครือ
เช่น ธุรกิจการเงินไปหลายประเภท ทำธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
มีสินทรัพย์ 265 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1 หมื่นล้านบาท

18. ?ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์? เริ่มจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
มาตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในชื่อ พฤกษา เรียเอสเตท
มีสินทรัพย์ 255 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9.6 พันล้านบาท


19. ?บุญชัย เบญจรงคกุล? และครอบครัว บุญชัย เข้าสู่วงการอายุ 27 ปี
หลังจากที่บิดาเสียชีวิต ต้องรับภาระหนี้มหาศาล 300 ล้านบาท
จากธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายวิทยุสื่อสาร โมโตโรล่า
หลังได้เงินกู้ได้ขยายธุรกิจสื่อสารอีกมากมาย เช่น วิทยุเคลื่อนที่ติดรถยนต์ วางระบบโทรคมนาคม
ทำวิทยุติดตามตัว โฟนพ้อยท์ ทำโทรศัพท์เคลื่อนที่ เวิลด์โฟน 800
ภายใต้บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ แทค
ก่อนจะขายหุ้นทั้งหมดในแทค ให้พันธมิตรเทเลนอร์ 9,186.58 ล้านบาท
ติดอันดับเศรษฐี ด้วยทรัพย์สินทั้งสิ้น 9,664 ล้านบาท


และ 20. ?พรเทพ พรประภา? และครอบครัว
พรเทพ หนึ่งในบุคคลของวงการรถยนต์ที่มีบทบาทอย่างยิ่ง
เป็นผู้สานต่อการทำตลาดรถยนต์นิสสัน จาก ดร.ถาวร พรประภา ผู้บิดา
ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้รถยนต์นิสสันประสบความสำเร็จในประเทศไทยให้ได้
จึงเจรจากับบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ตั้งโรงงานประกอบรถยนต์นิสสันในประเทศไทย
เปิดโรงงานประกอบรถยนต์นิสสันแห่งแรกที่ ซอยศรีจันทร์ สุขุมวิท 67
ภายใต้ชื่อ ?บริษัท สยามกลการและนิสสัน? นอกจากนี้ ได้ขยายธุรกิจไปชิ้นส่วนและอะไหล่อีกมาก
ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตแบตเตอรี่ ยีเอส. ตลับลูกปืน เอ็นเอชเค โช้กอัพ คายาบา
เครื่องปรับอากาศติดรถยนต์เซกเซล เครื่องปรับอากาศบ้าน ไดกิ้น ฯลฯ ด้วยสินทรัพย์ 8.5 พันล้านบาท

ส่วนอันดับที่ 21 ถึง 40 เศรษฐีไทย ตามการวัดของนิตยสารฟอร์บส์ ได้แก่

21.เกษม ณรงค์เดช และครอบครัว นักอุตสาหกรรม
แต่มารู้จักกันดีในชื่อของกลุ่ม เคพีเอ็น ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์รายใหญ่ของเมืองไทย
ธุรกิจจักรยานยนต์ยามาฮ่า ธุรกิจด้านเสียงเพลง สถาบันสอนขับร้องสอนดนตรีเคพีเอ็น


22. สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ เจ้าของบริษัทโอสถสภา
ที่มีรายได้หลักมาจากเครื่องดื่มชูกำลังตระกูล เอ็ม 100 เอ็ม 150 ลิโพวิตันดี ของใช้คอนซูเมอร์โปรดักส์


23.นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เจ้าของยาหอมปราสาททองโอสถ สายการบิน บางกอกแอร์เวย์ โรงพยาบาล

24. วิชัย รักศรีอักษร เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี คิงส์ พาวเวอร์

25.ไกรสร จันศิริ ค่ายไทยยูเนียน โฟรเซ่น ธุรกิจอาหารแช่แข็งส่งออก และขายในประเทศ

26.วิชา พูนวรลักษณ์ ยักษ์ใหญ่วงการโรงภาพยนตร์ ค่ายเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์

27.วิทย์ วิริยประไพกิจ และครอบครัว ค่ายสหวิริยา กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจไอที ธุรกิจเหล็ก ท่าเรือน้ำลึก อสังหาริมทรัพย์

28.เปรมชัย กรรณสูต และครอบครัว
กลุ่มอิตาเลี่ยน-ไทย ยักษ์ใหญ่ วงการก่อสร้าง ที่รับงานสร้างโครงการเมกะโปรเจ็กต์ใหญ่ๆ ของรัฐ

29.วิกรม กรมดิษฐ์ ค่ายอมตะ กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่วงการนิคมอุตสาหกรรมอันดับหนึ่งของไทย
ที่ตั้งเป้าจะขยายบริษัทในเครือให้ได้ 100 บริษัท จากขณะนี้มี 20 บริษัท

และ 30.มาลินี คีตาพาณิชย์ กลุ่มสมบูรณ์ กรุ๊ป ทำอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์

สำหรับ 10 อันดับสุดท้ายของ 40 เศรษฐีเมืองไทย ที่น่าสนใจ

31.ครอบครัว ลี้อิสรานุกูล สิทธิผลกรุ๊ป เดิมผู้ถือหุ้นโรงงานประกอบรถยนต์มิตซูบิชิ
หลังโดนซื้อกิจการหันมาทำธุรกิจชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์รายใหญ่ของเมืองไทย

33.ปลิว ตรีวิศวเวทย์ ค่าย ช.การช่าง ผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการรัฐรายใหญ่
37.สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ช่อง 7
และ 40.ไพบูลย์ ดำรงค์ชัยธรรม เจ้าของแกรมมี่ ยักษ์ใหญ่วงการบันเทิงด้านเพลง

**ไม่ว่า 40 เศรษฐีเมืองไทยจะร่ำรวย ด้วยฝีมือที่เก่งในการทำธุรกิจ
หรือเฮง ที่ทำอย่างถูกจังหวะ จนรายได้เพิ่มมหาศาลเพียงไร
สิ่งที่จะวัดว่าบุคคลดังกล่าวควรจะได้รับการยกย่องจากสังคม คือน้ำใจที่แต่ละคนจะคืนสู่สังคม ไม่ใช่หรือ



โพสต์ทูเดย์ [/color:057550b075">
( ขอขอบคุณ คุณ looking จากกระทิงเขียวค่ะ ) [/color:057550b075">

.0007 .0007 .0007 .0007 .0007 .0007 .0007 .0007 .0007

ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3

จะมีใครบริจาค เหมือน วอเร้น ไหม น้า