กลุ่มตระกูลตันติพิพัฒน์พงศ์ หวนคืนสังเวียนหุ้น รุกเงียบส่ง นอมินี สวมร่าง..ฮุบหุ้นใหญ่ SAICO สัดส่วน 90.69% ปัดฝุ่นนำกลับมาเทรด 25 สิงหาคมนี้



เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ตระกูลตันติพิพัฒน์พงศ์ อดีตผู้ถือหุ้นใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) อีกทั้งเป็นผู้ถือหุ้น เวิลด์ ไชนิส คอมเมอร์เชียล แบงก์ ในไต้หวัน มีความพยายามจะเข้าไปเทคโอเวอร์ ธนาคารศรีนคร ของ ตระกูลเตชะไพบูลย์ แต่ไม่สำเร็จ

นับเป็นความพยายามของ พิพัฒน์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ เจ้าสัว บ.อุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋องไทย (TPC) ที่ต้องการ มูฟ จากธุรกิจดั้งเดิมที่อิ่มตัว มาสู่ธุรกิจการเงิน และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ทุนของ ตระกูลตันติพิพัฒน์พงศ์ ขณะนั้น ก็คือ หุ้น BBL ที่ถือผ่าน 3 บริษัทในเครือ ได้แก่ บ.พิพัฒน์ธนกิจ บ.วังเพชร และ บ.พรภัทร์ รวมกันประมาณ 60 ล้านหุ้น มีมูลค่าก่อนวิกฤติ มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท (แต่ถ้าถือมาจนถึงปัจจุบันจะมีมูลค่า กว่า 6,000 ล้านบาท)

ขณะนั้นจึงกลายเป็น กลุ่มทุน ที่ถูกจับตามองมากที่สุด ในยุคปี 2540

ครั้งนั้นมีการเปิดตัวบุตรชายคนโต เติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ เข้ามาสานต่ออาณาจักรธุรกิจของตระกูล ซึ่ง เติมพงษ์ ได้ทุ่มเงินจำนวนมากเข้าไปลงทุนใน บ.พรภัทรประกันภัย และ บ.พรภัทรประกันชีวิต รวมทั้ง โครงการ พรภัทร เซ็นเตอร์ อาคารสูง 42 ชั้น (หัวมุมถ.สุขุมวิท-รัชดาฯ) มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

ต่อมาเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ อาณาจักรธุรกิจ ตระกูลตันติพิพัฒน์พงศ์ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนต้องเปิดทางให้ กลุ่มเจนเนอราลี่ กลุ่มธุรกิจประกันสัญชาติอิตาลี เข้ามาซื้อหุ้น เมื่อปี 2546 แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เจนเนอราลี่ ประกันภัย และ เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต

ขณะเดียวกัน โครงการ พรภัทร เซ็นเตอร์ ก็ต้องขายให้ กลุ่มทุนสิงคโปร์ ซิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น เอ็กซ์เชนจ์ ทาวเวอร์ ซึ่งไปจับมือกับกลุ่ม ศรีชวาลา ผุด โครงการ มิลเลนเนียม สุขุมวิท โรงแรมหรู ระดับ 5 ดาวในปัจจุบัน

ทั้งหมดนี้ คือ เส้นทางพลาด ของ ตระกูลตันติพิพัฒน์พงศ์ จนต้องขายหุ้น BBL ทิ้งเกือบทั้งหมด เพื่อนำเงินมาเยียวยา บาดแผลธุรกิจ

ขณะที่ เติมพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ ก็ถูกหางเลขจากพิษเศรษฐกิจ โดนธนาคารกรุงเทพ ฟ้องดำเนินคดีกับ บ.พรภัทรพัฒนา ที่เขานั่งบริหารใน คดีหมายเลขดำที่ กค.521/2543 และ คดีหมายเลขแดงที่ กค.41/2545

บทเรียนจากพิษฟองสบู่ ในที่สุด ตระกูลตันติพิพัฒน์พงศ์ ต้องกลับปักหลักที่ บ.อุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋องไทย (TPC) ที่ ตระกูลตันติพิพัฒน์พงศ์ ถือหุ้นใหญ่ 61.60% พร้อมทั้งผลักดันให้ กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ และ เติมศักดิ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ ขึ้นมาบริหารแทน

เกมรุกครั้งล่าสุดของ ตระกูลตันติพิพัฒน์พงศ์ ย่องเงียบเข้าเทคโอเวอร์ บมจ.สยามอุตสาหกรรมการเกษตร สับปะรดและอื่นๆ (SAICO) จาก กลุ่มเดล มอนเต้ ถือหุ้นใหญ่ 181.38 ล้านหุ้น สัดส่วน 90.69% (ผ่าน TPC) เพื่อนำหุ้น SAICO กลับเข้ามาซื้อขายในตลาดอีกครั้ง ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้

แต่การกลับมาของหุ้น SAICO ช่วงนี้ก็อาจจะไม่สดใสมากนัก พราฟร์ ชาห์ รองประธานกรรมการ และ กรรมการผู้จัดการ SAICO ยอมรับว่า ปีนี้ราคาสับปะรดได้ปรับตัวลดลงมาโดยตลอด แม้กระทั่งในช่วงพีค (ไตรมาส 2) ทำให้กำไรของบริษัทลดลง

ส่วนในช่วงไตรมาส 3 นี้ ก็ยังได้รับผลกระทบจากความซบเซา เนื่องจากไตรมาสนี้ปริมาณสับปะรดจะมีผลผลิตต่ำที่สุดในรอบปี ดังนั้นผู้ผลิตส่วนใหญ่จะถือโอกาส ปิดปรับปรุงเครื่องจักรประจำปี ประมาณ 5 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าไตรมาส 4 จะเริ่มเป็นขาขึ้นอีกครั้ง

ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็มีแนวโน้มกดดันต่อรายได้ของ SAICO เช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าธุรกิจนี้อยู่ภายใต้ฤดูกาล และความไม่แน่นอนสูง

ขณะที่ กลุ่มตันติพิพัฒน์พงศ์ ก็ยังไม่กล้า ทุ่มสุดตัว โดยเฉพาะประเด็นการยื้อเวลาที่จะให้ TPC ควบรวมกับ SAICO ทั้งๆ ที่ 2 บริษัทนี้ทำธุรกิจเหมือนกัน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการขัดแย้งทางผลประโยชน์ขึ้นได้

จริงแล้วเรามีแผนที่จะควบรวม แต่อาจจะเป็นในช่วงเวลา 3-5 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2554 พราฟร์ ชาห์ กล่าว

เขาอ้างว่า บริษัทต้องใช้เวลาเตรียมการ เพื่อทำให้ TPC และ SAICO สามารถทำงานได้ในระดับเดียวกันก่อน ทั้งในด้าน ระบบบัญชี ระบบการผลิต บุคลากร โดยจะว่าจ้างที่ปรึกษามาทำการศึกษาข้อแตกต่างของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 12-18 เดือน จากนั้นก็ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่จะดำเนินการ

ทว่าเบื้องลึกที่แท้จริงนั้น แหล่งข่าวจาก SAICO ยืนยันว่า สภาพของ SAICO ยังไม่พร้อมที่จะให้ TPC มาควบรวมกิจการ เพราะ SAICO (มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท) เล็กกว่า TPC มาก (มีทุนจดทะเบียน 800 ล้านบาท) จำเป็นที่จะต้องสร้างให้ SAICO มีผลประกอบการที่ดีก่อน แล้วค่อยมารวมกันภายหลัง

...ส่วน ตระกูลตันติพิพัฒน์พงศ์ จริงๆก็ไม่คิดว่าจะมาเทคโอเวอร์ SAICO ที่เข้ามาก็เพราะว่า โอกาสตกมาถึงมือ เห็นราคาเหมาะสม และพอมีเงินสดเหลือ ลึกๆก็หวังจะสวมบริษัท TPC ของตัวเองเข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกัน

ส่วนปัญหาการทับซ้อนทางผลประโยชน์กันนั้น ทางด้าน พราฟร์ ชาห์ ยอมรับว่า ปัจจุบัน SAICO มีลูกค้าที่ทับซ้อนกับ TPC อยู่ 13% ซึ่งตรงนี้ก็ยังจะเป็นการดำเนินการตามเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

อย่างไรก็ตามแนวทางการบริหารงานต่างๆ จะแยกจากกันให้ชัดเจน โดยเฉพาะกรรมการ และผู้บริหาร จะแต่งตั้งจากบุคคลภายนอกที่ไม่ได้มาจาก TPC

ด้านแหล่งข่าว กล่าวถึงการกลับมาซื้อ-ขายของหุ้น SAICO นั้น ทาง TPC ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ มีแผนจะนำหุ้นที่ถืออยู่ 11.57 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.7% เสนอขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 9.4% เป็น 15% ครบตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด

ทั้งนี้เขาเชื่อว่าราคาหุ้น SAICO ยังไงก็ต้องยืนเหนือ 1 บาทแน่ๆ ซึ่งต้องมากกว่าต้นทุนที่กลุ่มตันติพิพัฒน์พงศ์ ถืออยู่ที่ 1 บาท

ขณะที่ วิทยา รงค์ทองอร่าม ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี ให้เหตุผลว่า การซื้อขายหุ้น SAICO จะต้องมองอนาคตเป็นหลัก แม้ว่าไตรมาส 3 จะเป็นช่วง โลว์ ซีซัน แต่ไตรมาส 4 จะเป็น ไฮ ซีซัน ตรงนี้ต้องดูยาวๆ อยู่ที่ราคาตลาดโลกด้วย

โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2549 ที่ 1,100 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% มาจากการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 1.27 แสนตันเป็น 1.4 แสนตันในปีนี้ และมีการเปิดตลาดต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศอังกฤษแล้ว 5 แสนตัน ยูเครน 9 แสนตัน ต่อไปจะรุกเข้าไปในตลาดรัสเซีย กับยุโรปตะวันออกมากขึ้น

ขณะที่ พราฟร์ ชาห์ กล่าวปิดท้ายว่า ภายในไตรมาส 3 นี้ บริษัทจะล้างขาดทุนสะสมให้หมด และจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลในโอกาสต่อไป ทั้งนี้แผนธุรกิจในระยะยาวของ SAICO ต้องการก้าวขึ้นสู่ผู้ผลิตสับปะรดกระป๋อง รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ จากปัจจุบันยังครองมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่อันดับ 5

[b:c80d3b02d1">แห๋มมมม นึกว่าทำนาฬิกา

วันแรกกดไปซะ 4 อัพ ดูดิจะออกของยังงัย กริ กริ[/b:c80d3b02d1">

อิอิ .0005