นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร เปิดเผยว่า
เงินที่ได้จากการเพิ่มทุนครั้งนี้ประมาณ 5,000-7,000 ลบ. ธนาคารก็จะนำมารองรับการขยายธุรกิจในอนาคต
และคาดว่าเงินดังกล่าวจะรองรับการขยายธุรกิจได้ถึง 5 ปี
แต่ก็ขึ้นอยู่กับการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งหากมีการเติบโตเร็ว ก็ต้องมาพิจารณาอีกครั้ง
และการเพิ่มทุนจะทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ของธนาคารเพิ่มเป็น 12% จากปัจจุบันอยู่ที่ 9.6%
ก็ถือว่าเป็นระดับที่มีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นในระบบ

การเข้ามาถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในธนาคาร ถือเป็นเรื่องปกติ
ก็จะเห็นได้จากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อื่นๆ
ที่ส่วนใหญ่จะมีต่างชาติถือหุ้น ก็เพื่อจะได้นำเทคโนโลยีและความรู้มาบริหารธนาคาร
หลังการขายหุ้นเพิ่มทุน BT ก็ยังมีฐานะเป็นธนาคารของคนไทย
โดยกองทุนฟื้นฟู ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มากกว่ากลุ่มนักลงทุนใหม่
การขายหุ้นในครั้งนี้ กองทุนฟื้นฟูก็ให้ความเห็นชอบ เพราะจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธนาคาร
ซึ่งกองทุนก็ยืนยันว่านักลงทุนรายใหม่จะต้องมีสัดส่วนการถือหุ้นน้อยกว่ากองทุนฟื้นฟู ซึ่งธนาคารก็พอใจ

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ BT ภายหลังการขายเพิ่มทุนให้กับ TPG Newbridge นั้น
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร
โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นกว่า 30% จากปัจจุบันที่ถือหุ้นอยู่ 48.98%
ส่วน มิลเลียน ไลฟ์ ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนจากญี่ปุ่น
ก็จะลดสัดส่วนการถือหุ้นจากการไดลูทลงเหลือ 3-4% จากปัจจุบันที่ถือในสัดส่วน 5%

ดีล BT ขายหุ้นให้ TPG Newbridge ได้ประโยชน์แค่เงินกองทุนใหญ่ขึ้น

นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด
กล่าวถึงการขายหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารไทยธนาคาร ให้กับกลุ่ม TPG Newbridge ว่า
ธนาคารจะได้ประโยชน์ในเรื่องของเงินกองทุนที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
และได้รับผลดีด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินที่มีประสิทธิภาพขึ้น
เนื่องจากกองทุนดังกล่าวมีความเชี่ยวชาญและชำนาญ
แต่ในส่วนของการทำธุรกิจธนาคาร เชื่อว่าจะไม่ได้ช่วยการขยายงานของธนาคาร
ซึ่งจะทำให้ฐานะของธนาคารยังคงเป็นธนาคารที่มีขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตามการเพิ่มทุนดังกล่าวจะทำให้เงินกองทุนของธนาคารเพิ่มขึ้น
ธนาคารมีความแข็งแกร่ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการระดมทุนที่จะมีต้นทุนที่ต่ำลง เมื่อเทียบกับธนาคารขนาดเล็กรายอื่น

?การเพิ่มทุนในครั้งนี้ไม่น่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงธนาคารมาก เพราะธนาคารก็ยังเป็นธนาคารขนาดเล็ก
และผู้ร่วมทุนใหม่ก็ไม่ได้มีความชำนาญให้ธุรกิจธนาคาร เหมือนกับกรณีของกลุ่มจีอีฯ ที่เข้าเพิ่มทุนในธนาคารกรุงศรีอยุธยา
แต่การเพิ่มทุนของไทยธนาคารก็ทำให้แบงก์มีเงินกองทุนที่มั่นคงขึ้นนายวรุตม์กล่าว

ต้องมีพันธมิตร..เพื่อความอยู่รอด
นายปรเมศร์ ทองบัว ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด
เปิดเผยถึงการหาพันธมิตรของสถาบันการเงินทั้งขนาดเล็กและกลางว่า
เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการทำธุรกิจในอนาคต
เนื่องจากกฎเกณฑ์และกฎระเบียบต่างๆของทางการที่มีความเข็มงวดขึ้น
ได้แก่ แผนแม่บททางการเงินเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
การเปิดเสรีทางการเงินในอนาคต การรองรับมาตรฐานบาเซิล2

เขากล่าวต่อว่า การตั้งสถาบันประกันเงินฝากใน 1-2 ปีข้างหน้า
จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของธนาคารที่มีขนาดเล็กเพิ่มขึ้นมาก
ถ้าไม่มีการปรับตัวในขณะนี้ จะเกิดการไหลออกของเงินฝาก
ดังนั้น กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น ทำให้สถาบันการเงินที่มีขนาดกลางและเล็กจะต้องปรับตัว
เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเงินกองทุนของตนเอง
จึงจำเป็นที่จะต้องหาพันธมิตรที่มีฐานะการเงินมั่นคง มีความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วยในการทำธุรกิจในอนาคต

?ผลจากกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นของทางการ
ทำให้ธนาคารขนาดกลางและเล็กทุกแห่ง จำเป็นที่จะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเอง
ซึ่งในระบบขณะนี้ก็เหลือไม่มาก ส่วนใหญ่มีการเจรจาอยู่
เช่น ธนาคารนครหลวงไทย หรือ SCIB ก็น่าจะอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเช่นกัน ? นายปรเมศร์กล่าว

**กองทุนฟื้นฟูฯ รับกำลังรอจังหวะขาย KTB-SCIB แต่ขอดูราคาก่อน
นายไพโรจน์ เฮงสกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายจัดการกองทุนและหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
การตัดสินใจขายหุ้นธนาคารพาณิชย์ที่กองทุนฟื้นฟูถือหุ้นอยู่นั้น
ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ธนาคารไทยธนาคาร (BT)
กองทุนฯจะพิจารณาจากราคาหุ้นว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ และผู้ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร
แต่ที่สำคัญกองทุนฟื้นฟูต้องการจะขายหุ้นให้คนไทย
อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่งขาย
เพราะจะต้องดูสภาพตลาดก่อน ซึ่งในขณะนี้ภาวะตลาดหุ้นไม่ได้อยู่ในช่วงขาขึ้น


**ACL คึกคัก..ลือกระหึ่มแบงก์กรุงเทพเจรจาขายหุ้นให้กลุ่มซ็อคเจน-กองทุนประกันสังคม
นายชัย จิระเสวีนุประพันธ์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า
หุ้น ACL มีวอลุ่มเทรดเข้ามาอย่างคึกคัก และราคาก็ปรับตัวดีขึ้น
เนื่องจากเป็นการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวออกมาว่า
ทางแบงก์กรุงเทพต้องการจะขายหุ้น ACL ออกมาแล้วขณะนี้ได้อยู่ระหว่างการทำดีลกับ 2 กลุ่มผู้ลงทุน

โดยวานนี้มีรายงานข่าวว่า ธนาคารกรุงเทพ(BBL)ที่ถือหุ้นอยู่ 19-20% ได้เจรจาหาคนมาซื้อหุ้น ACL ต่อได้แล้ว
หลังแสดงเจตนาขายออกไปเพื่อปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแบงก์ชาติ ที่ไม่ให้ถือหุ้น 2 สถาบันการเงิน
โดยระบุว่า พันธมิตรที่จะเข้ามาซื้อ ได้แก่ กลุ่มซ็อคเจนผู้ถือหุ้นเดิมที่ต้องการซื้อเพิ่ม
นอกจากนั้นบางกระแสลือว่า กองทุนประกันสังคมที่ต้องการมีสถาบันการเงินเป็นของตัวเอง
ได้เจรจาขอซื้อยกล็อตจากธนาคารกรุงเทพด้วย และขณะนี้กำลังดีลกันอยู่

**ยังมีอีกหลายดีลที่ต้องจับตา
แหล่งข่าวในวงการอีกรายหนึ่งระบุว่า ยังมีอีกหลายสถาบันการเงินที่ต้องการหาพันธมิตรต่างชาติ
เข้ามาเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
โดยนอกเหนือจากการได้รับเงินทุนที่จะทำให้ฐานะทางการเงินแกร่งแล้ว
ยังจะได้รับในส่วนของการขยายแขนขาทางธุรกิจโดยใช้เครือข่ายของพันธมิตรเป็นตัวเชื่อม
และทั้งสองฝ่ายยังสามารถผสานประโยชน์ทางธุรกิจให้ลงตัว โดยอาศัยความชำนาญของทั้ง 2 ฝั่ง
ทั้งนี้มีสถาบันการเงินที่น่าจับตาคือ ธนาคารนครหลวงไทย
ซึ่งที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่ากำลังเจรจาเพื่อหาพันธมิตรใหม่

ในส่วนของวงการโบรกเกอร์ เขาระบุว่าที่มีการเปิดตัวอย่างชัดเจนคือ บล.เอเซีย พลัส (ASP)
ที่ประกาศว่าต้องการหาพันธมิตรเพื่อมาควบรวมกิจการเพิ่ม 1 ราย
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) (KGI) บล.ทีเอสอีซี(TSEC)
บล.ไซรัส ก็ประกาศเปิดกว้างพร้อมรับพันธมิตรทางธุรกิจที่จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพของทั้งคู่ร่วมกันได้
นอกจากนี้ก็มี บริษัทหลักทรัพย์ที่น่าจับตาคือ บล.ทรีนีตี้
ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ธนาคารกรุงไทย(KTB) อาจจะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อที่จะมีโบรกเกอร์เป็นของธนาคาร