May 3, 2024   5:32:30 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > จะกู้เงินซื้อบ้าน ต้องทำยังไง...
 

??????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
วันที่: 03/09/2006 @ 13:33:44
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

สำหรับคนที่กำลังสนใจจะซื้อบ้าน แต่ไม่ได้มีเงินใส่โอ่งฝังไว้หลังบ้านให้ขุดขึ้นมาโอนสดได้
ก็ต้องยอมเสียดอกเบี้ยเป็นค่ากู้เงินเขามาใช้ ส่วนคำถามที่เกิดขึ้นตามมากับทุกคนก็คือ

คำตอบแรกต้องตอบว่าโดยปกติสัดส่วนการขอสินเชื่อบ้านจะอยู่ที่ดาวน์ 20%
และกู้หรือขอสินเชื่อรายย่อยจากสถาบันการเงินได้ 80%
แต่ถ้าเป็นสถานการณ์ที่เงินล้นธนาคาร ก็อาจเพิ่มสัดส่วนให้เป็นดาวน์ 10% และกู้ 90%
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในเวลานั้นๆด้วย

อย่างไรก็ตาม เปอร์เซ็นต์นี้จะคิดจากราคาประเมินโครงการของธนาคาร
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะต่ำกว่าราคาที่ผู้ขายกำหนดนิดหน่อย
นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการกำหนดอัตราเงินกู้ที่อยู่อาศัยไว้อยู่แล้วด้วย
เช่น บ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปต้องใช้สัดส่วนดาวน์ 30% และขอสินเชื่อ 70% เป็นต้น

คำตอบที่สองคือ ต้องถามผู้ซื้อเองว่ามีฐานะทางการเงินเป็นอย่างไร
เพราะถ้ารายได้ดีก็ขอสินเชื่อรายย่อยได้เต็มวงเงินที่ขอหรือสูงสุดของที่ธนาคารจะอนุมัติสำหรับที่อยู่อาศัยนั้น
แต่ถ้ารายได้ของผู้กู้ไม่ถึง แบงก์ก็จะปล่อยกู้ตามที่เห็นสมควร
โดยอ้างอิงจากเอกสารแสดงฐานะทางการเงินที่ลูกค้ายื่นไปให้พิจารณา

การคำนวณความสามารถของผู้ซื้อว่าจะขอสินเชื่อรายย่อยได้วงเงินสูงสุดเท่าไร
รวมถึงระยะเวลายาวนานที่สุดที่จะขอกู้นั้น ธนาคารจะมีสูตรสำเร็จในการคำนวณอยู่

เริ่มจากคำนวณรายได้รวมต่อเดือน ถ้ามีคู่สมรสหรือผู้กู้ร่วมก็ให้คิดรวมทั้งหมด
เช่น ออกมาได้เท่ากับ 120,000 บาทต่อเดือน ให้นำตัวเลขนั้นไปหาร 3 เหลือ 40,000 บาท

จากนั้นก็ดูว่าจะกู้ได้นานที่สุดกี่ปี แต่ละธนาคารอาจมีความยืดหยุ่นแตกต่างกัน
เช่น พนักงานบริษัทมีรายได้หลักเป็นเงินเดือนประจำจะให้กู้สูงสุดถึงอายุ 60 ปี
ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจอาจให้กู้สูงสุดได้ถึงอายุ 65 ปีซึ่งเอกสารแสดงรายได้ก็จะแตกต่างกัน
แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะจำกัดที่อายุ 60 ปีนั่นเอง..

 กลับขึ้นบน
จันทรา
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
#1 วันที่: 03/09/2006 @ 13:40:41 : re: จะกู้เงินซื้อบ้าน ต้องทำยังไง...
ตัวอย่างเช่น ผู้จะขอกู้เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง
ปัจจุบันมีอายุ 27 ปี ก็คือกู้ได้สูงสุด 33 ปี ธนาคารจะตัดที่ 30 ปี
จึงหมายความว่าคนอายุยิ่งมาก ระยะเวลาที่จะเหลือกู้ได้ยาวนานก็ยิ่งลดน้อยลง
และผู้ขอกู้อายุยังน้อยรายนี้ยังสามารถเลือกที่จะขอกู้ในระยะเวลาที่น้อยกว่า 30 ปีก็ได้

จากนั้นธนาคารจะมีตัวเลขคงที่กำหนดไว้สำหรับอายุแต่ละช่วงปี
เช่น กู้ได้ 30 ปี ก็ให้หารด้วยตัวเลขที่กำหนดไว้สำหรับการกู้ 30 ปีคือ 7,200
ได้ตัวเลขออกมาเป็นเท่าไรนั่นคือหลักล้านบาทที่จะสามารถกู้ได้
กรณีนี้เอา 40,000 บาท หารด้วย 7,200 ออกมาเท่ากับ 5.56
ก็คือ 5,560,000 บาทเป็นวงเงินสูงสุดที่จะสามารถกู้ได้อ้างอิงจากฐานรายได้ของผู้ยื่นกู้รายนี้

เมื่อได้วงเงินที่ธนาคารอนุมัติแล้ว ลูกค้ามักจะถามต่อว่าแล้วเดือนหนึ่งจะมีภาระค่างวดเท่าไร
ตัวเลขจะออกมาเป็นกี่บาทกี่สตางค์ ซึ่งธนาคารจะมีตัวเลขกำหนดไว้สำหรับการคำนวณอยู่เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ยปีแรกที่ธนาคารอนุมัติในปัจจุบันคือ 4.25%
กู้เต็มที่ 30 ปี ก็คูณด้วยตัวเลข 0.0049193 ได้อัตราผ่อนต่อเดือนคือ 27,351 บาทโดยประมาณ
ทั้งนี้ เพราะในทางปฏิบัติถึงเวลาผ่อนชำระจริงๆ ตัวเลขที่แบงก์คิดค่างวดออกมามักจะบวกมาเกินกว่านั้นนิดหน่อย
เพราะธนาคารต้องประกันความเสี่ยงให้กับตัวเองด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่ารวมแล้วลูกค้าจะต้องจ่ายแพงกว่าที่ตกลงกัน
เพราะถึงเวลาจริงๆ ยื่นกู้ไว้ 30 ปี ผ่อนจริงๆ 25-27 ปีก็อาจจะหมดหนี้เป็นไทแล้วก็ได้

ตัวอย่างทั้งหมดนี้เป็นการคำนวณจากฐานรายได้แต่ละเดือนเท่านั้น
ซึ่งจริงๆ แล้วในการพิจารณาขอสินเชื่อรายย่อย แบงก์ก็อาจพิจารณาเพิ่มเติมจากองค์ประกอบอื่นด้วย
ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งคะแนนบวกหรือลบ เช่น หนี้สินเดิม ทรัพย์สิน
ซึ่งถ้าเป็นทรัพย์สินที่ยังไม่ปลอดภาระก็กลายเป็นคะแนนลบ แต่ถ้าปลอดภาระแล้วก็กลายเป็นบวก

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเงินออม ยิ่งมีมากก็ยิ่งดี...
และทำให้วงเงินที่แบงก์จะอนุมัติขยับขึ้นไปสูงกว่าที่คิดเฉพาะรายได้ประจำที่เป็นกระแสเงินเข้าในแต่ละเดือนได้
 กลับขึ้นบน
จันทรา
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
#2 วันที่: 03/09/2006 @ 13:50:21 : re: จะกู้เงินซื้อบ้าน ต้องทำยังไง...
กู้สั้นหรือกู้ยาวดี..??[/color:230f5d93fb">[/size:230f5d93fb">

----------------------------------------------------------------------------------------------------[/size:230f5d93fb">

ทีนี้พอถึงเวลาต้องกรอกใบสมัครขอวงเงินสินเชื่อเข้าจริง
ในช่องวงเงินที่ขอส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหา เพราะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องการกู้เท่าไร
แต่พอถึงช่องที่ต้องกรอกระยะเวลาขอกู้ ส่วนใหญ่ก็จะชะงักและเงยหน้าขึ้นถามว่า

จะขอกู้กี่ปีดี?[/color:230f5d93fb">

คนอายุ 35 ปี ก็จะมีคำถามต่อว่า แล้วฉันควรจะกู้เต็ม 25 ปีหรือเลือกกู้แค่ 15 ปีดี
ส่วนคนอายุ 45 ปีก็จะถามเช่นกันว่าแล้วฉันควรจะกู้ 15 ปีหรือแค่ 10 ปีดีล่ะ


กู้สั้นกับกู้ยาวจะมีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร[/color:230f5d93fb">

คำแนะนำในที่นี้คือให้ยื่นขอกู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพราะนอกจากค่างวดรายเดือนจะน้อย ภาระไม่มากแล้ว ข้อดีอีกประการหนึ่งของการกู้ยาวคือ
หากว่าความสามารถในการผ่อนชำระของเรามีมากกว่าค่างวดนั้นอยู่แล้ว
ก็ค่อยเอาส่วนนั้นไปตัดต้นหรือที่เรียกว่า ?โปะ? ทีหลังให้เสียดอกน้อยกว่าดีกว่า

เพราะทุกเดือนที่เราจ่ายค่างวดไป ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยจากเงินต้น ณ เดือนนั้น
ดังนั้น โดยปกติช่วงแรกๆ เราจึงโดนดอกเบี้ยสูงเพราะคำนวณค่างวดจากเงินต้นที่เหลืออยู่เกือบเต็ม
เท่ากับเราเอาเงินไปเสียดอกเบี้ยมากในช่วงแรก เงินที่ไปตัดต้นก็น้อย
เท่ากับว่าเงินที่เราจ่ายไปในช่วงแรกๆ นั้น คือการจ่ายดอกเบี้ยเสียเป็นส่วนใหญ่

ถ้าเลือกผ่อนระยะสั้น อัตราการผ่อนต่อเดือนก็จะสูง
และดอกเบี้ยระยะสั้นจะต้องเสียดอกเบี้ยในช่วงต้นๆ จะสูงตามไปด้วย ดังนั้นจึงควรกู้ยาวๆ นานๆ ดีกว่า

ตัวอย่างเช่น เปรียบเทียบการกู้ระยะสั้น 20 ปี อัตราการผ่อนเดือนละ 10,000 บาท
กับกู้ระยะยาว 30 ปีอัตราการผ่อนเดือนละ 6,000 บาท เท่ากับมีส่วนต่างอยู่ 4,000 พันบาท

ถ้าเดือนหนึ่งเรามีความสามารถในการผ่อนได้ 10,000 บาทสบายๆ อยู่แล้ว
ก็ให้เลือกกู้ 30 ปี แล้วเอาส่วนต่าง 4,000 บาทไปตัดต้น
 กลับขึ้นบน
จันทรา
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,898
#3 วันที่: 03/09/2006 @ 13:56:45 : re: จะกู้เงินซื้อบ้าน ต้องทำยังไง...
แต่ถ้าผ่อนเดือนละ 10,000 บาท เงินที่ผ่อนช่วงต้นซึ่งปกติจะมีทั้งต้นและดอกอยู่ในนั้น
โดยเฉลี่ยช่วงต้นที่ธนาคารจัดเก็บอาจจะอยู่ที่ 70-80% จากค่างวดนั้น
เท่ากับว่าจากเงิน 10,000 บาทที่จ่ายไป
เราอาจโดนดอกเบี้ย 70% ให้ธนาคาร เท่ากับ 7,000 บาท และจ่ายเงินต้นแค่ 3,000 บาท

ถ้าเลือกผ่อน 30 ปี ค่างวดเดือนละ 6,000 บาท ธนาคารคิดดอกเบี้ย 80% จากเงินก้อนนั้น
เท่ากับเราจ่ายดอกเบี้ย 4,800 บาทและจ่ายเงินต้น 1,200 บาท
แต่เรามีกำลังเหลืออีก 4,000 บาทที่จะตัดต้นทันทีได้

ดังนั้น ถ้าเลือกแบบหลังเท่ากับจ่ายเงินต้น 1,200 รวมกับการโปะอีก 4,000 บาท
เท่ากับเดือนนั้นเราตัดต้นได้ 5,200 บาทและเสียดอกเบี้ยแค่ 4,800 บาท

พูดง่ายๆ คือแทนที่จะไปจ่ายดอกเบี้ยสูงๆ ให้เลือกกู้ยาวแล้วเอาเงินที่เหลือไปโปะเงินต้นดีกว่า
เพราะธนาคารจะคิดดอกเบี้ยในเดือนถัดไปจากเงินต้นที่เหลือ ณ สิ้นเดือนล่าสุด
หรือเรียกว่าวิธีการคิดแบบลดต้นลดดอก เช่นจาก 1 ล้านเหลือ 950,000 บาท
เดือนต่อไปก็คิดดอกเบี้ยจาก 950,000 บาททันที

ทั้งนี้ ต้องถามถึงเงื่อนไขของธนาคารด้วย เช่น กำหนดการผ่อนขั้นสูงหรือขั้นต่ำของแต่ละเดือนไว้หรือไม่
อนุญาตให้โปะตั้งแต่เดือนที่เท่าไร หรือหากปิดบัญชีก่อนกำหนดจะต้องเสียค่าปรับหรือไม่และเท่ากับเท่าไร เป็นต้น

ถ้าเงื่อนไขยืดหยุ่นพอให้โปะได้ ส่วนใหญ่ก็จะออมไว้ก่อนแล้วค่อยโปะกันทีเดียว

จากส่วนนี้จะเห็นได้ว่าอายุผู้กู้จึงมีผลอย่างมาก เพราะถ้าอายุน้อยก็เหลือเวลากู้ได้นานหน่อย
ดังนั้น ถ้ามีคนอายุมากกับอายุน้อยกู้ร่วมกัน ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ ต่อรอง ธนาคาร
ใช้คนอายุน้อยกว่าเป็นผู้กู้หลัก จะได้เหลือเวลากู้ได้นานๆ
เพื่อให้ได้เรทอัตราการผ่อนต่อเดือนน้อย แต่ละเดือนจะมีภาระไม่มาก

แม้ในทางปฏิบัติแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะผ่อนกันหมดก่อนครบเทอมทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่า...
ถ้าเลือกกู้ยาวกว่า หากผ่อนจนครบเทอม บ้านแบบเดียวกันหลังที่ผ่อน 30 ปี จะแพงกว่าหลังที่ผ่อน 25 ปีแน่นอน..




** โดย คุณพร้อมระวี วีระโสภณ ( ขอขอบคุณค่ะ ) [/color:154c5af0bb">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com