May 6, 2024   3:39:40 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เละยิ่งกว่าโจ๊ก
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 06/09/2006 @ 12:29:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

?เละยิ่งกว่าโจ๊ก?



--------------------------------------------------------------------------------

ผลของการทะเลาะเบาะแว้งชิงดีชิงเด่นกันทางการเมืองจนเกินเหตุ ทำให้นักลงทุน ต่างชาติเริ่มหนีหายจากการลงทุนในประเทศไทย อย่างน้อยก็ช่วงที่ยังไม่มีการเลือกตั้ง ยังไม่มีรัฐบาลใหม่ มาบริหารประเทศ น่าเสียดายเหลือเกินที่นักการเมืองเพียงไม่กี่คนทำให้เศรษฐกิจไทยต้องพังพินาศไปเช่นนี้ สิ่งที่ควรได้เช่น ภาษี ค่าธรรมเนียมต่างๆ ลอยหายไปต่อหน้าต่อตาทีเดียว
ผลที่ตามมาอีกได้ยินว่าช่วงนี้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หยุดซื้อขายเป็นการชั่วคราวกันแล้ว เหตุผลหลักก็คือหากปัญหาเรื่องการซื้อขายผ่าน Nominees ยังไม่มีความ ชัดเจน จากหน่วยงานกำกับดูแลว่าจะออกมาอย่างไร รับรองได้เลยว่าวงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ อาจจะ กลับไปสู่ความซบเซาอีกก็ได้ แน่นอนย่อมกระทบถึงตัวหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจทำให้ความหวังของนักลงทุนที่ติดหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในราคาสูง ต้องทนรอกันต่อไปอีกจนกว่า จะมีการชี้ผิดชี้ถูกในเรื่องบัญชี Nominees ออกมาอย่างชัดเจนจากหน่วยงานกำกับดูแล เฮ้อ! เซ็งชะมัดยาด
เรื่องบัญชี Nominees ยังเขย่าตลาดทุนไม่พอหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ วันก่อน เห็นมีบุคคลกลุ่มหนึ่งคงจะว่างมาก และคงจะไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจตลาดทุนดีพอกระมัง ไปยื่น ฟ้องศาลปกครอง หวังจะให้ศาลปกครองสั่งถอดถอน PTT ออกจากตลาดทุนไทย ก็ยังไม่รู้ว่าศาลปกครองท่านจะเห็นเป็นอย่างไร แต่ช่วงนี้ PTT ก็ได้รับผลกระทบ ในแง่ลบอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ว่ากันว่าหาก PTT กลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจอีกครั้ง รังรองได้เลยว่าตลาดหุ้นไทยรวมไปถึงเศรษฐกิจไทยจะ ?เละยิ่งกว่าโจ๊ก? เสียอีก
เนื่องจาก PTT เป็นบริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย แห่งหนึ่งใน ไม่กี่แห่งของเมืองไทย ที่นักลงทุนต่างชาติต้องมีหุ้น PTT ติดพอร์ตลงทุนไว้ ทุกครั้งที่มี เม็ดเงินลงทุนเพิ่มในเมืองไทย อีกทั้งความสารมารถในการทำกำไรต่อปีในระดับ แสนล้านบาท หาได้ไม่ง่ายนัก อยากถามหน่อยเถอะว่าบรรดาพวกที่ชอบประท้วงสร้างความปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้ มีปัญญาบริหารให้ PTT แข็งแกร่งอย่างที่เป็นอยู่หรือไม่ และกล้ารับรองหรือไม่ว่าหาก PTT กลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจแบบเดิมแล้วจะไม่มีเหลือบมาแอบสูบเลือด PTT อีกเหมือนในอดีต และใครจะเป็นผู้อาสาหาเงินมาซื้อหุ้น PTT คืนจากนักลงทุนต่างชาติจำนวนมากถึง 2 แสนล้านบาท ขอร้องเถอะอย่าทำให้ตลาดทุนไทยต้องพังไปเพราะความรู้ไม่จริงของพวกท่านทั้งหลายเลย แค่ที่ทำมาก็ทำให้ตลาดหุ้นไทย ?เละยิ่งกว่าโจ๊ก? อยู่แล้ว

 กลับขึ้นบน
arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
#1 วันที่: 06/09/2006 @ 12:32:01 : re: เละยิ่งกว่าโจ๊ก
เมื่อการเมืองเริ่มกระทบเศรษฐกิจ

--------------------------------------------------------------------------------

เมื่อวานนี้ผมได้พูดคุยกับโบรกเกอร์ต่างชาติบางรายเพราะอยากจะรู้ว่าในช่วงนี้นักลงทุนต่างชาติคิดอย่างไรบ้างกับตลาดบ้านเรา โดยเฉพาะที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่นักลงทุนต้องเริ่มคิดเรื่องการจัดพอร์ตอีกรอบก่อนปลายปี
คำตอบที่รับก็ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะคนที่ดูตลาดไทยบอกว่าช่วงนี้ลูกค้ายังรอดูสถานการณ์การเมืองว่าจะไปในทิศทางไหน นักลงทุนบางรายเข้ามาซื้อหุ้นไทยบ้างแต่ก็ยังเป็นการซื้อแบบแทงกั๊กไว้เล็กน้อย เผื่อว่าตลาดขึ้นก็มีหุ้นไทยอยู่ในพอร์ตแล้วบ้าง แต่ยังไม่ได้ซื้อเพราะเชื่อว่าตลาดไทยจะดีขึ้นจริงๆ
ส่วนคนที่ดูตลาดทั้งภูมิภาคเอเชียก็ตอบว่าในช่วงหลังนี้ตลาดไทยไม่สำคัญ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเน้นไปดูตลาดทางเอเชียทางเหนือ เช่น จีน เกาหลี และไต้หวัน มากกว่าจะมาเสียเวลากับตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พอได้ฟังอย่างนี้แล้วก็เริ่มรู้สึกว่ากระแสเงินที่ควรจะเริ่มไหลเข้า อาจจะเข้ามาแบบกระปริกระปรอยมากกว่าที่จะทะลักเข้ามาอย่างในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมื่อวานนี้มูลค่าการซื้อขายของตลาดก็ลดลงต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาทอีกแล้ว
เมื่อวานนี้หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ฉบับเอเชีย ได้พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งว่า ?วิกฤตการเมืองไทยเริ่มส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง? ซึ่งก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง แต่สถานการณ์จริงยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แต่อย่างไรก็ตามสำหรับนักลงทุนต่างประเทศที่ไม่รู้จักประเทศไทยดีพอแล้วนั้น เมื่ออ่านพาดหัวข่าวนี้แล้วคงจะไม่อยากเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้เท่าไรนัก
ส่วนที่ถูกคือในที่สุดแล้วถ้ายังแก้ไขปัญหาการเมืองไม่ได้เศรษฐกิจคงจะทรุดอย่างแน่นอน แต่ตัวเลขเศรษฐกิจในตอนนี้ยังไม่ได้แย่ขนาดนั้น เรารู้กันดีตั้งแต่ต้นปีนี้แล้วว่าตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกจะดีมาก เมื่อเทียบกับในปีก่อนหน้าที่มีผลกระทบรุนแรงจากเหตุการณ์สึนามิ ซึ่งเศรษฐกิจก็ได้ขยายตัวถึง 6.1% ในไตรมาสแรก ก่อนที่จะชะลอการขยายตัวลงเหลือ 4.9% ในไตรมาสที่สอง และคาดว่าจะลดลงต่ำกว่านั้นอีกในช่วงครึ่งหลังของปี
ซึ่งตัวเลขทั้งหมดนี้อยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้ว เรื่องการเมืองที่มีปัญหามาตั้งแต่ต้นปีก็คงจะมีผลกระทบบ้าง แต่ยังไม่มากขนาดนั้นเพราะว่าปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจยังเป็นการส่งออก ส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐนั้นก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะงบประมาณได้ถูกอนุมัติมาตั้งแต่ปีที่แล้วตามรอบบัญชีของรัฐบาล
ย้อนกลับมาดูตลาดหุ้นในปีนี้ เรื่องการเมืองอาจจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระบบในตอนนี้ แต่เราก็เริ่มเห็นผลลัพธ์บ้างแล้วในบางกลุ่มอุตสาหกรรม ที่เห็นได้ชัดคือในกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างและกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่โปรเจ็กใหญ่ๆ ของรัฐบาลที่ยังไม่เกิดสักที ราคาหุ้นจึงหล่นลงมาเรื่อยตั้งแต่ต้นปี
อีกกลุ่มหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเรื่องปัญหาการเมืองคือบริษัทหลักทรัพย์ เพราะเมื่อบรรยากาศการลงทุนไม่ดี มูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันก็จะลดลงทำให้ได้ค่าคอมมิชชั่นน้อยลงกว่าเดิม การทำ IPO ก็ยากขึ้น ตลาดตราสารอนุพันธ์ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ก็ยังไม่สามารถสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำในขณะนี้ โดยปกติแล้วหุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จะพุ่งขึ้นได้ในช่วงที่ตลาดมีวอลุ่มเยอะ แต่ถ้าปลายปีนี้มูลค่าการซื้อขายไม่เพิ่มขึ้น แนวโน้มของหุ้นกลุ่มนี้ก็จะแย่ลง
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเรื่องการเมืองคือกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามาลงทุนระยะยาวของบริษัทต่างชาติในเมืองไทย ปกติแล้วลุ่มนี้จะขึ้นไปก่อนที่เศรษฐกิจจะปรับขึ้น เพราะเป็นการส่งสัญญาณว่าบริษัทต่างชาติและบริษัทไทยเริ่มลงทุนอีกแล้วด้วยการซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงาน แต่เวลาที่กลุ่มนี้เริ่มขายที่ดินไม่ได้ก็แสดงให้เห็นว่าการลงทุนเริ่มชะลอตัวลง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ AMATA ที่เพิ่งจะมีการประชุมเปิดเผยข้อมูลให้กับนักลงทุนไปเมื่อวานนี้ ก่อนหน้านี้ทางบริษัทเคยยืนยันมาตลอดว่าเรื่องการเมืองไม่มีผลกระทบต่อยอดขายของบริษัท แต่ปรากฎว่าเมื่อวานนี้ AMATA ออกมาพูดอย่างชัดเจนว่าปัญหาทางการเมืองทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจเรื่องการซื้อที่ดินและตั้งโรงงานในเมืองไทย ทำให้บริษัทต้องปรับตัวเลประมาณการณ์ลงว่าจะขายที่ได้เพียง 1,500 ไร่ในปีนี้ ซึ่งก็ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับที่ดินที่ขายไปได้แล้วประมาณ 400 ไร่ตั้งแต่ต้นปี
เราคงจะเริ่มเห็นตัวอย่างเหล่านี้เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งถ้าปัญหาการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจไม่บานปลายก็อาจจะมีผลกระทบเป็นหย่อมๆ กับบางธุรกิจและบางอุตสาหกรรมเท่านั้น ตอนนี้ผมยังมองว่าปัญหาการเมืองเป็นปัญหาเรื่องบรรยากาศการลงทุน (Sentiment) ซึ่งทำให้ตลาดซึมเป็นช่วงๆ แต่ถ้าปล่อยไว้นานเข้าจะกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ตลาดตกลงอย่างรุนแรงได้
 กลับขึ้นบน
mr.w
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 490
#2 วันที่: 10/09/2006 @ 18:54:05 : re: เละยิ่งกว่าโจ๊ก
ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3 ฟฟฟฟ3
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com