หุ้นกลุ่มพลังงานกดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลดต่ำสุดในระหว่างวันมาอยู่ที่ 690.66 จุด
ก่อนกระเตื้องขึ้นมาท้ายตลาดปิดที่ 692.5777 จุด ลดลง 9.40 จุด
โดยหุ้นปตท.ปิดที่ 226 ลดลง 12 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 1.8 พันล้านบาท

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น ดัชนีหุ้นอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน หลังจากที่มีปัจจัยลบรอบด้านเข้ามา
ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นตั้งแต่เปิดตลาด ดัชนีปรับลดลงต่ำสุดในระหว่างวัน ที่ 690.66 จุด
ก่อนที่จะกระเตื้องขึ้นมาท้ายตลาดปิดที่ 692.56 จุดลดลง 9.40 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง

สำหรับหุ้นที่กดดัชนีให้ปรับลดลงคือหุ้นกลุ่มพลังงาน
นำโดยหุ้น ปตท.(PTT) ปิดที่ 226 ลดลง 12 บาท
ตามด้วยหุ้นบริษัทไทยออยล์(TOP) ปิดที่ 60.50 บาทลดลง 1.00 บาท
หุ้นบริษัทปตท.สผ.(PTTEP) ปิดที่ 108 บาท ลดลง 3.00 บาท
หุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยอง(RRC) ปิดที่ 19.40 บาทลดลง 0.20 บาท
และหุ้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย(SCC) ปิดที่ 226.00 บาท ลดลง 2.00 บาท

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงภักดิ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ จำกัด เปิดเผยว่า
การที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากมีปัจจัยลบรอบด้าน
ทั้งกรณีของศาลปกครองรับฟ้องการยื่นขอถอดถอนหุ้นปตท.พ้นตลาดหลักทรัพย์
และการขึ้นเครื่องหมายรับสิทธิปันผล(เอ็กซ์ดี)ของหุ้นปตท.
รวมทั้งการปรับลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้นักลงทุนยังวิตกกังวลกับการประกาศตัวเลขเอ็นพีแอลของแบงก์ชาติ

ทั้งนี้หุ้นกลุ่มพลังงาน ถือว่าเป็นกลุ่มที่กดดันดัชนีในตลาดให้ปรับลดลง
โดยเฉพาะการลดลงของปตท. และหุ้นปตท.สผ. จะมีผลค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการลงทุน ( 8ก.ย.) ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันในตลาดโลกว่าจะปรับลดลงหรือไม่
หากลงต่อ หุ้นในกลุ่มพลังงานก็จะได้รับผลกระทบ
ส่วนหุ้นโรงกลั่น เช่นไทยออยล์ (TOP) และโรงกลั่นระยอง(RRC) ไม่น่าจะได้รับผลกระทบ

นางสาวอาภาภรณ์ ยังได้ให้ความเห็นกรณีที่ศาลรับคำฟ้องการยื่นขอเพิกถอนหุ้นปตท.ว่า
หากมีการถอนหุ้นปตท.พ้นจากตลาดจะต้องใช้เงินงบประมาณมากถึง 3.17-3.2 แสนล้านบาท
แต่หากยังให้กองทุนวายุภักษ์ถือหุ้นต่อไป ก็จะใช้เงินทุนประมาณ 2.1 แสนล้านบาท
ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวเลขค่อนข้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณของประเทศ
อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามความคืบหน้าการตัดสินของศาลปกครองว่าจะเป็นอย่างไร
ซึ่งทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับ รวมทั้งต้องติดตามดูว่ารัฐบาลเตรียมเอกสารในการชี้แจงต่อศาล