ในที่สุด บมจ.เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) ก็เปิดเกมธุรกิจใหม่สู่ธุรกิจติดตั้งอุปกรณ์ NGV หลังราคาหุ้นของบริษัทยังไม่สามารถขึ้นไปเทียบเท่าราคาจองที่ 3 บาท นับตั้งแต่เข้าตลาด




ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง เมื่อครั้งจอง หุ้น SECC ถือว่าน่าจับตามาก เพราะมีนักลงทุนระดับ เซียน-รายใหญ่ ถือหุ้นอยู่จำนวนมาก

ทั้งยังมีกระแสข่าวอย่างลับๆว่า มีนักการเมืองบางกลุ่ม และลูกชายอดีตปลัดกระทรวงการคลังคนดัง เข้ามาถือหุ้นตัวนี้อยู่ด้วย

สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ประธานกรรมการบริษัท เคยกล่าวกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มาก่อนหน้านี้ว่า รู้จักคนในวงการตลาดหุ้นจำนวนมาก แต่หุ้น SECC ของเขานั้นไม่มีเจ้ามือเข้ามาทำหุ้น ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่หุ้นจะลงตามภาวะตลาด

ล่าสุดเขาบอกว่าในส่วนตัวพอใจที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหว อยู่แถวๆ 2.50 บาท แม้ว่าจะไม่ตอบรับกับข่าวผลประกอบที่การครึ่งปีแรก ทำกำไรได้ถึง 89.55 ล้านบาท เติบโตกว่า 225%

ตอนที่เราขายไอพีโอ 3 บาทนั้น ดัชนีอยู่ที่ 770 จุด แต่วันนี้ดัชนีอยู่ที่ 700 จุด ก็ถือว่าเราลดลงมากน้อยกว่าดัชนี สมพงษ์ กล่าว

สมพงษ์ กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทมีอัตราการเติบโตที่สูงเกิดจากปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับผลดีจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีรถยนต์ แต่ในช่วงครึ่งปีหลังการเติบโตของกำไรคงจะไม่โดดเด่นเท่ากับครึ่งแรก

ราคาหุ้นในปัจจุบันจึงเป็นบทสะท้อนว่านักลงทุนได้รู้อนาคตครึ่งปีหลังของ SECC เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม สมพงษ์ บอกว่า ในครึ่งหลังบริษัทจะมีรายได้เสริมเข้ามาจากธุรกิจติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับรถยนต์ โดยบริษัทจะทุ่มทุนกว่า 50 ล้านบาทในการซื้ออุปกรณ์ถังติดตั้งก๊าซ และจะเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนรายได้ที่จะเข้ามาจากธุรกิจจะอยู่ในสัดส่วนประมาณ 5% ของรายได้รวม หรือมากกว่า 100 ล้านบาท

แต่จะมีกำไรขั้นต้นที่มากกว่าธุรกิจจำหน่ายรถ คือ อยู่ที่ประมาณ 12-15% และบริษัทยังวางเป้าหมายที่จะขึ้นเป็น เบอร์หนึ่ง ของธุริจกติดตั้งก๊าซ NGV ที่มีมาตราฐาน ขณะเดียวกันยังมีแผนการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปที่ใช้ก๊าซ NGV เพื่อจำหน่ายในปี 2550 ด้วย

เรามองว่าธุรกิจนี้ค่อนข้างมีอนาคต ภายในปีหน้าทุกองค์กรจะหันมาใช้เครื่องยนต์ NGV มากขึ้น เนื่องจากสามารถประหยัดต้นทุนได้ประมาณ 60% โดยก๊าซ NGV ราคาเพียงลิตรละ 8.50 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันเบนซินสูงถึงลิตรละ 30 บาท

ส่วนธุรกิจรถยนต์ปีนี้ เชื่อว่าจะดีขึ้นในไตรมาส 4 โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายรถยนต์จากงานมอเตอร์ โชว์ ที่จะจัดขึ้นช่วงปลายปี ประมาณ 200 คัน โดยจะนำรถยนต์มาจำหน่ายภายในงาน ประมาณ 8-10 รุ่น ดังนั้นจึงเชื่อว่าในปีนี้รายได้จะเติบโตมากกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 2.5 พันล้านบาทแน่นอน

**********************************