??? สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 410 | วันที่: 11/09/2006 @ 16:46:26 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต .0007 .0007
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมองระบบการค้าการลงทุนในโลกเสรีเป็นตัวชี้ทิศทางจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจของไทยและประเทศกำลังพัฒนาที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นไปของโลก ขณะที่ประธานแบงก์เตือนมิติใหม่เชิงนโยบายเศรษฐกิจการใช้วิธีการนอกงบประมาณต้องระวังเรื่องความโปร่งใส
ในการสัมมนาทางวิชาการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)งานเสวนาจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย:มิติเชิงนโยบายเศรษฐกิจ
นายโอฬาร ไชยประวัติ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า การเข้าสู่ระบบการค้าเสรีจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่บังคับให้ไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ จำเป็นต้องปรับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจระยะปานกลางและระยะยาวของประเทศในระยะ 5-20 ปี
นายโอฬาร กล่าวว่า ความสนใจของต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งไทยนั้น จะต้องมีสิ่งดึงดูดสำคัญที่ประกอบด้วยมาตรการจูงใจทั้งด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี รวมถึงขนาดของตลาดในประเทศที่ไม่เล็กจนเกินไป, คุณภาพฝีมือแรงงาน และอัตราค่าจ้างแรงงาน
ดังนั้นหากประเทศไทยยังขาดคุณสมบัติเหล่านี้ ก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางในการกำหนดนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ และสามารถดึงการลงทุนของต่างชาติให้เข้ามาในไทยแทนที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศคู่แข่ง เช่น มาเลเซีย, เวียดนาม, จีน และอินเดีย
ประเทศต่างๆ ในเอเชีย และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ พยายามจะแย่ง จะทำตัวเองให้น่าสนใจ เหมือนหญิงหลายคนกำลังจ้องชายรูปงาม เพราะฉะนั้นเราต้องทำตัวเองให้น่าสนใจ นายโอฬาร กล่าว
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ตัวหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยเปลี่ยนไปจากอดีตที่เคยใช้โครงสร้างภาคการเกษตรเป็นตัวหลัก ขณะนี้กลายเป็นหน้าที่หลักของภาคการส่งออกและการลงทุน
นอกจากนี้ เม็ดเงินจากการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เป็นการเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น ซึ่งต่างจากเดิมที่จะเน้นเข้ามาลงทุนในด้านการผลิตสินค้า(FDI) ดังนั้น จึงเห็นว่าประเทศไทยควรต้องมีกลไกเข้ามารองรับและดูแลในเม็ดเงินจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนโดยตรง
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า จุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจไทยที่เห็นได้ชัดเจนคือวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี 40 เพราะได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลกและทำให้นโยบายการเงินต้องเปลี่ยนแปลงไป โดยการมีกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้ามาจัดการระบบต่างๆ
นายโฆสิต ได้นำเสนอมิติในเชิงนโยบายด้านเศรษฐกิจ 2 เรื่อง คือ การใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน (dual track) ที่ยังไม่มีความชัดเจน เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยที่เป็นประเทศกำลังพัฒนายังจำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ขณะที่การกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศไม่สามารถทำได้นาน เพราะจะทำให้หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น หรือหากกระตุ้นด้วยการใช้จ่ายภาครัฐจะทำให้เกิดปัญหาขาดดุลและส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
หากให้น้ำหนักไม่ดี ก็จะไม่มีเสถียรภาพ ดังนั้นช่วงหลัง ๆ dual track จึงหายไป วิธีการคือควรกระตุ้นด้านการใช้จ่ายในประเทศแบบชั่วคราว ไม่ควรใช้ไปตลอดกาล เพราะแกนหลักสำคัญในการพัฒนาประเทศ คือการมีชัยชนะในตลาดโลก นั่นคือการส่งออก นายโฆสิต กล่าว
นายโฆสิต กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องเพิ่มความสามารถด้านประสิทธิภาพการผลิต(productivity)ให้เติบโตได้ตามศักยภาพของประเทศ
ส่วนมิติที่ 2 คือ การคลังสาธารณะ ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจในปี 40 ทำให้โครงสร้างการคลังของประเทศเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เคยให้ความสำคัญมากในระบบงบประมาณ แต่ปัจจุบันหันไปใช้วิธีการแบบเอกชนมากขึ้น เป็นระบบกึ่งการคลัง หรือ ใช้วิธีการนอกงบประมาณด้วยการเพิ่มกิจกรรมให้ภาคธุรกิจหรือใช้เครื่องมือทางการตลาด
นายโฆสิต กล่าวว่า การใช้ระบบการคลังนอกงบประมาณจำเป็นต้องทำให้มีความโปร่งใส ซึ่งเป็นหลักสำคัญของงบประมาณที่ได้กำหนดให้มีระเบียบและขั้นตอนที่อาจทำให้เกิดความล่าช้าอยู่บ้าง และต้องไม่ขัดแย้งกับกลไกตลาด และความเป็นสาธารณะ
นายโฆสิต ยังกล่าวถึงการตั้งเป้าหมายในระยะ 20 ปีข้างหน้าให้จีดีพีประเทศเติบโตได้เฉลี่ย 5.5% นั้น เป็นการตั้งโจทย์ที่ไกลเกินไป ขณะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ดังนั้น การตั้งโจทย์ในลักษณะนี้อาจจะกลายเป็นภาระแก่ภาครัฐและเอกชนในอนาคต
การทำแบบนั้นเป็นภาระของรัฐและเอกชน หากเอกชนไม่ปรับก็ไม่มีใครปรับ การปรับตัวของภาคเอกชนคือการปรับเข้าสู่ value creation คือการปรับจากผู้รับจ้างเข้าไปอยู่ใน value chain ซึ่งเป็นการปรับในด้าน productivity ทำยากแต่ต้องหาวิธีทำ นายโฆษิต กล่าว
นอกจากนั้น นายโฆสิต ยังมองว่า สิ่งสำคัญที่ภาครัฐจำเป็นต้องพัฒนาคือ ด้านการศึกษา, องค์ความรู้, การวิจัยและพัฒนา ซึ่งทั้งหมดเรียกว่าภูมิคุ้มกันตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง[/color:8741841386">[/size:8741841386">
.0007 .0007
|