May 3, 2024   11:02:32 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > SCC ดาวรุ่งดวงใหม่
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 12/09/2006 @ 21:47:00
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

กูรูฟันธงยกเครดิตให้ SCC ขึ้นแท่นหุ้นดาวรุ่ง หาก PTT ถูกเพิกถอนออกจากตลาดฯ เหตุมีมาร์เก็ตแคปใหญ่ เป็นเป้าในการใช้เป็นหุ้นพยุงดัชนีฯต่อจาก PTT เคจีไอ มั่นใจแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมียังเติบโตแข็งแกร่งทำรายได้ขยายตัวได้ ส่วน KEST มั่นใจรับผลดีจากราคาปิโตรเคมี และ สเปรด พุ่งขึ้นทำสูงสุดใหม่ ส่วน SCIBS จัดแถวหุ้นน่าลงทุน ระหุ้นหุ้นที่ถูก Consensus มองในแง่ร้ายมีโอกาสพลิกกลับมาได้รับความสนใจ เพราะราคาหุ้นไม่ได้วูบตามการคาดการณ์
หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดรับคำฟ้องของมูลนิธิผู้บริโภค ที่ยื่นให้ตรวจสอบและเพิกถอนหุ้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)(PTT)ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งผลให้หลายฝ่ายเกิดความวิตกกังวลต่อประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างมาก เนื่องจาก PTT มีมาร์เก็ตแคปสูงถึง 6 แสนล้านบาท หรือ 12% ของมาร์เก็ตแคปรวม มูลค่า 5.5 ล้านล้านบาท ดังนั้นหากมีการเพิกถอน PTT เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความน่าสนใจในการลงทุนเพราะปัจจุบันถือได้ว่า PTT เป็นดาวรุ่ง ที่ดึงดูดนักลงทุนทุกกลุ่มทั้งไทยและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้หลายฝ่ายจะยังมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงที่ PTT จะถูกเพิกถอนออกจากตลาด แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังมีมุมมองที่เป็นบวกในหุ้นหลายตัวที่จะพลิกกลับมาเป็นดาวรุ่งทันทีหากไม่มี PTT อยู่ในกระดาน และหนึ่งในจำนวนหุ้นเต็งจ๋าที่ถูกยกให้ขึ้นมาเทียบชั้น PTT ในอนาคต ก็คือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC โดยนายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า เปิดเผยว่าหาก PTT ถูกเพิกถอนออกจากตลาดฯ นักลงทุนจะต้องปรับมาเล่นหุ้นในกลุ่มที่ช่วยพยุงตลาดหรือมีมาร์เก็ตแคปรวมๆกันได้เท่ากับ PTT ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ หุ้น SCC เพื่ออุ้มดัชนีฯเอาไว้

- เคจีไอมองแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมียังแข็งแกร่ง
บล.เคจีไอ ได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับ SCC ว่า คาดว่าแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีของ SCC มีแนวโน้มสดใสขึ้นเนื่องจากวัฏจักรขาลงของอุตสาหกรรมที่แต่เดิมคาดไว้ว่าจะเป็นปี 2549 ถูกเลื่อนออกไปเป็นปี 2551 จากการที่โรงงานปิโตรเคมีในอิหร่านหลายโรงที่คาดว่าจะเริ่มการผลิตในปีนี้และปีหน้าได้เลื่อนกำหนดการผลิตออกไปจากปัญหาการเมืองภายใน จากในรูปที่ 1 จะเห็นว่าโรงงาน Jam PC ซึ่งกำหนดจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2550 ได้ถูกเลื่อนออกไปเปิดในปี 2551 นอกจากนี้ Kharg PC และ Ras Lffan ที่คาดว่าจะเริ่มการผลิตในปี 2552 อาจจะต้องเลื่อนกำหนดการเปิดโรงงานออกไปอีก
ทั้งนี้โรงงาน Marun Petrochemical Complex No. 7 ซึ่งมีกำลังการผลิต 1.1 ล้านตันต่อปีและเริ่มการผลิตไปแล้วในปีนี้ยังไม่สามารถผลิตได้เต็มกำลังการผลิต ดังนั้นอุปทานส่วนเพิ่มจึงน้อยลงกว่าที่ตลาดคาดการไว้ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาของปิโตรเคมีในตลาดโลกยังแข็งแกร่งอยู่ราคาปิโตรเคมีในตลาดโลกยังอยู่ในเกณฑ์ดีและเป็นปัจจัยเสริมรายได้ให้ SCC
บทวิเคราะห์ระบุอีกว่า คาดว่า SCC จะได้รับผลดีจากการที่ราคาปิโตรเคมีในตลาดโลกและตลาดเอเชียยังอยู่ในระดับสูงเนื่องจากรายได้กว่า 50% ของ SCC มาจากธุรกิจนี้ ถึงแม้ว่า SCC จะมี naphtha ซึ่งเป็นผลผลิตจากน้ำมันเป็นวัตถุดิบ ก็คาดว่าส่วนต่างของราคาขายและต้นทุน (margin) จะยังอยู่ในระดับดีอยู่เนื่องจากผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปลายน้ำเริ่มปรับตัวกับราคาของ naphtha และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต้นน้ำได้แล้ว
ดังนั้น คาดว่ารายได้ของ SCC ในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีในครึ่งปีหลังของ 2549 จะอยู่ในเกณฑ์ดีมากโดยเฉพาะในไตรมาส 3/2549 ที่ราคาเคมีภัณฑ์ในตลาดโลกสูงขึ้นมากที่สุดในรอบปีนี้คาดราคาเคมีภัณฑ์ในตลาดโลกจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยในปี 2550
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาของเคมีภัณฑ์จะอ่อนตัวลงในปี 2550 และ 2551 จากการอุปทานส่วนเพิ่มที่เข้ามาในระบบ แต่รายได้รวมของบริษัทจะยังยืนอยู่สูงเนื่องจากธุรกิจกระดาษยังมีรายได้แข็งแกร่งอยู่รวมทั้งธุรกิจปูนซีเมนต์จะเป็นตัวเสริมรายได้อีกทางในปลายปี 2550 เนื่องจากคาดว่าจะมีอุปสงค์จากการของทุนของภาครัฐหรือ mega project มาเป็นตัวเสริม ดังนั้น ถึงแม้ว่าธุรกิจปิโตรเคมีของ SCC จะเข้าสู่วัฏจักรขาลง รายได้รวมของทั้งบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
บทวิเคราะห์ได้ระบุอีกว่า ความต้องการซีเมนต์จะปรับตัวดีขึ้นใน 2007 ดังนั้นราคาหุ้นที่ต่ำจากสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยเป็นโอกาสที่สามารถเข้าไปซื้อได้เมื่อราคาอ่อนตัว แต่ในอีกมุมมองหนึ่งอุตสาหกรรมซีเมนต์ในไทยจะปรับตัวดีขึ้นภายในปี 2007 จากโครงการเมกะโปรเจค ในขณะที่แรงกดดันด้านต้นทุนจะลดลงจากราคาน้ำมันดีเซลและถ่านหินที่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ความต้องการในที่อยู่อาศัยที่กลับมาจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้อุตสาหกรรมซีเมนต์เติบโตภายในปี 2007 ดังนั้น มองว่าการรอจนกระทั่งอุตสาหกรรมซีเมนต์กลับมาจะทำให้อัตราผลตอบแทนที่ควรจะได้รับลดลง

คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 303 บ.
KGI ใช้อัตราคิดลดกระแสเงินสด (WACC) ที่ 9.8% และอัตราการเติบโตของธุรกิจระยะยาวที่ 3.0% คำนวณหาราคาเป้าหมายของ SCC ได้เท่ากับ 303 บาทซึ่งคิดเป็น PE ปี 2549 ที่ 11.3 เท่าและ PE ปี 2550 ที่ 11.7 เท่าและมีอัพไซด์ 32.9% นอกจากนี้ยังได้ทำ sensitivity analysis โดยใช้ช่วง WACC ระหว่าง 8.8%-10.8% และช่วยอัตราการเติบโตของธุรกิจระยะยาวที่ 2.0%-3.0% และได้ราคาเป้าหมายอยู่ระหว่าง 234-426 บาทต่อหุ้นถูกกว่าบริษัทอื่นในอุตสาหกรรม
มูลค่าในปัจจุบันของ SCC ต่ำกว่ามูลค่าโดยเฉลี่ยของบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมหลักเดียวกัน แม้ SCC จะซื้อขายที่ P/E และ EV/EBITDA ที่สูงกว่าบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเหมือนกันโดยเฉพาะ PTTCH เรายังคงมองว่า ROAE ของ SCC ในปี 2006-07 ที่ 41.3% และ 33.6% ตามลำดับนั้นมีความน่าสนใจ ระดับ P/E และ EV/EBITDA ที่สูงกว่าสะท้อนให้เห็นถึงการกระจายความเสี่ยงของบริษัทออกจากธุรกิจซีเมนต์ ถ้าหากมองเฉพาะธุรกิจซีเมนต์เพียงอย่างเดียว SCC มี P/E และ EV/EBITDA ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ในขณะที่ ROAE อยู่ในระดับที่สูง นอกจากนี้ เรามองว่า SCC ซื้อขายที่มูลค่าต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทกระดาษในภูมิภาคเดียวกัน ในขณะที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า
นอกจากราคาหุ้นของ SCC ในขณะนี้อยู่ในระดับที่ต่ำมากแล้ว SCC ยังจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นถึง 15 บาทต่อหุ้น คิดเป็น dividend yield ที่ 6.6% ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาด ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 303 บาท

- KEST มั่นใจรับผลดีจากราคาปิโตรเคมี และ สเปรด พุ่งขึ้นทำสูงสุดใหม่
บทวิเคราะห์จาก บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ KEST ระบุว่าราคา HDPE และ PP พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ ทำให้ สเปรด HDPE - Naphtha และ PP - Naphtha สูงถึง 660-720 เหรียญ/ตัน และ 710-810 เหรียญ/ตัน ตามลำดับ เทียบสเปรดเฉลี่ยในไตรมาสสอง เท่ากับ 583 เหรียญ/ตัน และ 575 เหรียญ/ตัน ตามลำดับ เนื่องจากปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศในอิหร่าน ทำให้คาดหมายว่าการก่อสร้างโรงงาน Cracker ในอิหร่าน จะยังมีความล่าช้า จึงเกิดข้อจำกัดทางด้านซัพพลาย และ ยังได้แรงหนุนจากความต้องการที่สูงทั้งจากจีนและอินเดีย
ประมาณการเบื้องต้นกำไรไตรมาสสามจะอยู่ในเกณฑ์น่าประทับใจ ด้วยแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาปิโตรเคมี และ สเปรด KEST ประเมินว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติของธุรกิจปิโตรเคมีจะค่อนข้างโดดเด่น เมื่อรวมธุรกิจอื่นๆซึ่งคาดหมายว่าจะค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสสอง ประเมินกำไรจากการดำเนินงานปกติของ SCC ในไตรมาส 3/2549 จะประมาณ 7,600 - 8,200 ล้านบาท เทียบกับ 7,554 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน และ 8,011 ล้านบาท ในปีก่อน ซึ่งนับว่าเป็นฐานกำไรที่อยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าจะเผชิญกับปัจจัยลบต่างๆ
ประมาณการกำไรของ SCC เดิมของค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม คือ เท่ากับ 32,071 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 26.73 บาท) โดยสามารถทรงตัวได้จากปีก่อน จากประมาณการเบื้องต้นกำไรงวด 9 เดือนแรกจะคิดเป็น 77-79% ของประมาณการทั้งปี ทำให้กำไรของ SCC ในปีนี้มีแนวโน้มจะมากกว่าที่เราคาด

คงคำแนะนำ ซื้อลงทุน โดยมีราคาเหมาะสมเท่ากับ 270 บาท
หุ้น SCC นับว่าเป็นหุ้นประเภทบลูชิพที่น่าสนใจ คาดหมายว่าในช่วง 1-2 ปีนี้กำไรจะสามารถรักษาระดับได้จากปี 2548 แม้ว่าจะถูกกดดันจากปัจจัยด้านลบ โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ปี 2549 ที่ต่ำ 8.2 เท่า และ คาดจะมีการจ่ายเงินปันผลปีละประมาณ 15 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น เงินปันผลตอบแทนเท่ากับ 6.9% ดังนั้นจึงคงคำแนะนำ ซื้อลงทุน โดยประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 270 บาท หรือ ซื้อขาย P/E ปี 2549 เท่ากับ 10 เท่า

- SCIBS จัดเกรดหุ้นที่น่าลงทุน มั่นใจหุ้นที่ถูกมองในแง่ร้ายยังน่าสนใจ
บล.นครหลวงไทย (SCIBS) ได้ออกบทวิเคราะห์ด้วยการทำการเปรียบเทียบ ประมาณการของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนซึ่งจัดทำโดยหลักทรัพย์อื่นๆ (Consensus) ซึ่งถือเป็นค่าเฉลี่ยของบริษัทหลักทรัพย์ 15 แห่ง มาทำการเปรียบเทียบกับประมาณการของผลประกอบการของ SCIBS จากการศึกษาพบว่ามีบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่มีการจัดทำประมาณการกำไรสุทธิที่แตกต่างกันระหว่าง SCIBS และ Consensus ดังนั้น SCIBS จึงได้เลือกบริษัทมีความแตกต่างในด้านมุมมองของอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 2549 เกินกว่า 10%ขึ้นไป เปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนนั้นๆในช่วง 4 สัปดาห์ (ถึงวันที่ 5 ก.ย. 2549) โดยสามารถจัดแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1) Consensus มองโลกในแง่ร้ายเกินไป : กลุ่มที่ Consensus ประเมินว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2549 ต่ำกว่า SCIBS ประเมิน 10% แต่ราคาหุ้นกลับปรับลดลง 5% แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนการเติบโตของกำไรสุทธิและอาจจะมีโอกาสที่ Consensus จะปรับประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงเป็นหุ้นกลุ่มที่ควร ?ซื้อลงทุน? ได้แก่ GMMM CPNเป็นต้น
2) Consensus มองโลกในแง่ดีเกินไป : กลุ่มที่ Consensus ประเมินว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 2549 สูงกว่า SCIBS ประเมิน 10% และราคาหุ้นในช่วง 4 สัปดาห์ปรับเพิ่มขึ้นมา 5%ได้แก่ ATC PF KCE และ KEST แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาเป็นเพียงการคาดการณ์ปัจจัยบวกในระยะสั้น ในขณะที่ SCIBS คาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ Consensus จะปรับลดประมาณการผลประกอบการปี 2549 ลง จึงแนะนำ ?ขายทำกำไร? หุ้นในกลุ่มนี้
กลุ่มที่ 1 : สมมติฐาน Consensus มองโลกในแง่ร้ายเกินไป (Consensus is overly pessimistic)
? DELTA : World Semiconductor Trade Statistics (WSTS) คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ในช่วง 2H/49 จะเติบโต 14% yoy ซึ่งอัตราส่วน book-to-bill ratio ของ PCB และ SEMI ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 1.0 เท่า ในเดือน ก.ค. ดังนั้นส่งผลดีต่อ DELTA SCIBS ประเมินว่ากำไรสำหรับปีนี้อยู่ที่2.9 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่ consensus คาดการณ์ถึง 17% และคาดว่า consensus อาจมีการปรับประมาณการขึ้น
? AOT : SCIBS ประมาณการผลการดำเนินงานอย่างอนุรักษ์นิยมซึ่งสูงกว่า consensus คาดการณ์32.4% การเปิดสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงสิ้นเดือน ก.ย. จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (high season) ราคาหุ้น AOT ยังคงปรับตัวลดลง 0.9% ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
? CPN : SCIBS ได้รวมกำไรจากการสิทธิการเช่าอาคารสำนักงานจำนวน 1.2 พันล้านบาท ให้แก่ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ในช่วง Q4/49 ดังนั้น การประมาณการผลการดำเนินงานของ CPN ที่ SCIBS ได้ประมาณการณ์ไว้จะสูงกว่าของ consensus
? TTA : TTA ยังคงได้รับผลบวกจากช่วงวงจรธุรกิจขาขึ้น (high season) ในปลาย Q3/49 ถึง Q4/49 SCIBS คาดว่า TTA จะมีการปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจาก 1) TTA มีสัดส่วนสัญญาระยะยาวเพียงเล็กน้อย และ 2) อายุของกองเรือโดยเฉลี่ยของ TTA ยังไม่มาก ซึ่งทำให้ TTA ได้รับผลดีจากแนวโน้มอัตราค่าระวางเรือในช่วงขาขึ้น ซึ่งเป็นผลจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากประทศจีน
? GMMM : SCIBS คาดการณ์ว่าผลประกอบการของ GMMM ใน 2H49 จะเติบโตกว่าใน 1H49 จากการยกเลิกสถานีวิทยุซึ่งมีต้นทุนสูง ซึ่งส่งผลให้ GMMM มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มูลค่างบโฆษณาในช่วง 2H49 จะเพิ่มขึ้นในช่วง 1H49 ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้น
? GSTEEL: SCIBS คาดว่า GSTEEL จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาเหล็กในช่วงขาขึ้น นอกจากนี้GSTEEL ใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ 500,000 ตัน มาผลิต Skin Pass Steel จำนวน 300,000 tpa. ซึ่งSCIBS คาดการณ์ว่าราคาจะอยู่ที่ประมาณ 30-50 เหรียญสหรัฐต่อตัน สูงกว่าราคาขายปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ประมาณ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน SCIBS คาดว่า consensus อาจมีการปรับประมาณการขึ้น และเป็นโอกาสดีต่อการลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลดลง 13% ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
? SSI : SCIBS มีมุมมองเป็นบวกสำหรับ SSI มากกว่า consensus โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก31.4 สูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจาก SCIBS ประเมินว่า SSI จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาที่อาจเพิ่มขึ้น SCIBS เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลดลง 3% ในช่วง 4 สัปดาห์ที่
กลุ่มที่ 2 : สมมติฐานว่า Consensus มองโลกในแง่ดีเกินไป (Consensus is overly optimistic)
? KCE : SCIBS คาดการณ์ว่า KCE จะรายงานผลขาดทุนสุทธิใน Q3/49 และจะถึงจุดคุ้นทุนใน Q4/49สาเหตุจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากราคาขายที่ปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม SCIBS คาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงมีผลขาดทุนต่อเนื่องในช่วง 2H49 ดังนั้น SCIBS ประเมินว่า consensus อาจมีการปรับประมาณการลง ซึ่งส่งผลกดดันต่อราคาหุ้น
? PF : SCIBS คาดว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมถึงต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2549 ดังนั้นคาดว่า consensus อาจปรับประมาณการณ์ลง SCIBS แนะนำ ?ขาย?เนื่องจากราคาหุ้น PF ได้เพิ่มขึ้น 7% ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
? KEST & PHATRA : SCIBS สมมติฐานว่า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 2549 อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ consensus ประเมินไว้ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่ง SCIBS คาดว่าอาจมีการปรับน้ำหนักการลงทุน จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 16.5 พันล้านบาท และมีแนวโน้มลดลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ สาเหตุจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและความเชื่อมั่นที่ลดลง


ที่มา efinancethai.com[/color:a3baa4603b">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com