พบไตรมาส 3 บริษัทจดทะเบียนถูกเทคโอเวอร์แล้ว 6 แห่ง
ไดอาน่า-บลิส-เทล-ทราฟฟิก-เจนโก้ -ซีฮอร์ส-ราชธานีลิสซิ่ง ถูกรายใหญ่ทุ่มซื้อใช้เงินมูลค่ารวม 1.5 พันล้านบาท
โบรกเกอร์ชี้เหตุไอพีโอซบ ส่งผลบริษัทนอกตลาด ใช้ทางลัด ฮุบกิจการ-แบ็คดอร์ลีสติ้งแทน

จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2549 มีบริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่
โดยการถูกซื้อกิจการ (เทคโอเวอร์) มี 6 บริษัท ได้แก่

บริษัท ไดอาน่า ดีพาร์ทเม้นท์ สโตร์
มีกลุ่มนายจเรรัฐ ปิงคลาศัย ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ได้เข้ามาเทคโอเวอร์
โดยการรับทำคำเสนอซื้อหุ้นจากรายย่อย และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ดราก้อน วัน ซึ่งใช้เงินลงทุนในครั้งนี้ประมาณ 80 ล้านบาท

บริษัท บลิส-เทล
ถูกบริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจิเนียริง เข้ามาซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยใช้เงินลงทุน 252 ล้านบาท

บริษัท ทราฟฟิก คอร์นเนอร์ โฮลดิ้งส์
มีกลุ่มพ.ต.อ.รวมนคร ทับทิมธงไชย ได้ซื้อหุ้นจากนายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย
ซึ่งเป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจำนวน 58 ล้านหุ้น
ในราคาหุ้นละ 0.81 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 46.9 ล้านบาท

บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง
มีกลุ่มนายทรงพนธ์ จันทรพันธ์ นักลงทุนรายใหญ่ เข้าซื้อหุ้นจำนวน 93.50 ล้านหุ้น
คิดเป็น 19.61% ใช้เงินประมาณ 65 ล้านบาท

บริษัท ซีฮอร์ส
จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 2.6 พันล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.63 บาท
โดยจัดสรรให้กับนายวรเจตน์ อินทามระ จำนวน 2.17 พันล้านหุ้น และนายสมโภชน์ อาหุนัย จำนวน 421 ล้านหุ้น

ล่าสุดหุ้นบริษัท ราชธานี ลิสซิ่ง
ขายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทและใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่ธนาคารนครหลวงไทย
จำนวน 265 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.15 บาท
และได้มีการชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนมาครบถ้วนแล้ว เป็นจำนวนทั้งสิ้น 304.75 ล้านบาท
ทั้งนี้ มูลค่าเงินลงทุนที่มีการทำรายการเทคโอเวอร์ จำนวน 6 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.5 พันล้านบาท

ส่วนการเคลื่อนไหวราคาหุ้นของบริษัทที่ถูกเทคโอเวอร์ พบว่า ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

โดยราคาหุ้นของหุ้นบริษัท ดราก้อน วัน ก่อนทำรายการราคาอยู่ที่ 0.45 บาทต่อหุ้น
และปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 5 บาท ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 1.67 บาทต่อหุ้น

และหุ้นบริษัท บลิส-เทล จากราคาหุ้นที่ 4.80 บาท เพิ่มสูงสุดที่ 5.50 บาท ล่าสุดอยู่ที่ 3.90 บาท

แหล่งข่าวฝ่ายวาณิชธนกิจ เปิดเผยว่า การที่ดีลการเทคโอเวอร์มีมากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
การควบรวมกัน หรือการเทคโอเวอร์ จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
ขณะเดียวกัน การที่ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ก็เป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดการเทคโอเวอร์

การที่ตลาดหุ้นไอพีโอซบเซา ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายที่ต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
เพื่อต้องการฐานะการเป็นบริษัทจดทะเบียน แต่ไม่ต้องการหาเงินจากการระดมทุน
จึงหันมาใช้วิธีการเทคโอเวอร์ หรือการแบ็คดอร์ลีสติ้งแทน
ซึ่งการเข้าตลาดทางอ้อม ถ้าเป็นดีลขนาดไม่ใหญ่มาก การแบ็คดอร์มีต้นทุนที่ต่ำกว่า
จึงเลือกทางดังกล่าวแทนการขายไอพีโอ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง