April 29, 2024   3:27:21 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ระวังโดนฝรั่งหลอกต้ม
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 24/09/2006 @ 18:04:02
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

.0009 .0009


เตือนระวังโดนฝรั่งหลอกต้มหลังความเห็นมูดี้ส์ ขัดแย้งกับทางการอเมริกา เกิดข้อสงสัยว่าวอลุ่มที่ปูดขึ้นมากว่า 4.3 หมื่นล้านบาท และแรงซื้อต่างชาติที่มากกว่า 7.39 ล้านบาท ที่ทะลักเข้ามาในวันแรกที่เปิดการซื้อขายหลังจากเกิดเหตุการณ์ปฏิรูปการปกครองฯ เป็นของจริงหรือไม่ โบรกฯสันนิษฐานส่วนหนึ่งอาจเป็นการโยกเงินออกของบรรดานักการเมืองที่มีเงินลงทุนในหุ้น ล่าสุดปิดตลาดฯวันศุกร์ แรงซื้อฝรั่งแผ่วเหลือแค่ 114 ล้านบาท และดัชนีร่วงลงแรงกว่า 10 จุด

หลังเกิดเหตุการณ์คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปรากฎว่าสถาบันจัดอันดับ 2 ค่ายคือ เอสแอนด์พีและฟิทช์ ประกาศจะทบทวนเครดิตของประเทศในเชิงลบ แต่ในส่วนของมูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิส หรือ มูดี้ส์ ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือขนาดใหญ่ และได้รับความเชื่อถือมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา กลับมีมุมมองในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย หลังการปฏิรูปการปกครองฯ ซึ่งถือว่าสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดฯ ท่ามกลางการเก็บหุ้นเจ้าพอร์ตของ นักลงทุนต่างชาติ ในวันแรกที่ตลาดฯ เปิดซื้อขายหลังการปฏิรูปการปกครองฯ กว่า 7.39 พันล้านบาท

ทั้งที่หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้น่าจะสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีนักต่อนักลงทุนจากนานาประเทศ โดยเฉพาะประเด็นของการที่ทหารเข้ามายึดอำนาจ จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

เหตุการณ์ในวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา จึงมีสิ่งที่น่าสังเกตุอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติมากกว่า 7.3 พันล้านบาท ขณะที่รายย่อยและสถาบันขายออกมาอย่างถล่มทลาย ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 4.3 หมื่นล้านบาท รองจากวันที่มีการยกบิ๊กล็อตหุ้น SHIN ของตระกูลชินวัตรให้กับเทมาเส็ก ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงถึง 29 จุด กลับรีบาวน์ขึ้นมาเหลือการปรับลดลงเพียง 9.99 จุด ซึ่งก็ถือว่าเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้มากเลยทีเดียว ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเดินหน้าต่อได้อย่างมีเสถียรภาพ

มุมมองเชิงบวกของมูดี้ส์ยังถือว่าขัดแย้งกับทางการของสหรัฐอเมริกา ที่กระทรวงต่างประเทศ ออกมาประกาศตำหนิประเทศไทย ว่าการห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองอาจเป็นการกระทำที่ถอยหลังเข้าคลอง รวมทั้งบอกด้วยว่าสหรัฐฯเตรียมที่จะทบทวนความช่วยเหลือต่างๆที่เคยมีต่อประเทศไทย ดังนั้นจึงเกิดการตั้งข้อสังเกตุในวงการค้าหุ้นว่า แรงซื้อของต่างชาติที่เข้ามาเป็นของจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ที่อาจเกิดขึ้นจากความพยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในประเทศ หรืออาจเกิดจากการขายหุ้นของบรรดานักการเมืองฝากฝั่งของไทยรักไทยที่รู้กันดีในวงการว่า มาเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นจำนวนมาก และเมื่ออาณาจักรของพรรคการเมืองใหญ่แห่งนี้ล่มสลายลง ย่อมต้องมีการถอนเงินออกไปเพื่อลดความเสี่ยง จึงจะเห็นได้ว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับตระกูลชินวัตรที่รูดลงอย่างรุนแรงตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปฏิรูปการเมือง

ท่ามกลางความพยายามในการเช็คบิลผู้ที่เกี่ยวข้องกับอดีตรักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นการปิดคดีซีทีเอ็กซ์ และแอร์พอร์ตเรียลลิ้งค์ หรือความพยายามในการตรวจสอบของคณะปฏิรูป ซึ่งจะเห็นได้จากการแต่งตั้ง ป.ป.ช. เพื่อตรวจสอบคดีทุจริตของรักษาการรัฐบาลชุดเดิม

ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปรากฎว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวร่วงลงแรง โดยระหว่างการซื้อขายหุ้นร่วงลงต่ำสุดกว่า 18 จุด ก่อนที่จะมีแรงไล่ซื้อหุ้นบิ๊กแคปโดยเฉพาะ PTT ในช่วงท้ายตลาดส่งผลให้ดัชนีรีบาวน์ปรับตัวลดลงเพียง 10.86 จุด โดยดัชนีปิดตลาดฯอยู่ที่ 681.71 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายลดฮวบลงมาเหลือเพียง 24,492 ล้านบาทเท่านั้น

ที่สำคัญแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติลดลงเหลือเพียง 114 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเมื่อวันศุกร์มีออกมาค่อนข้างมากทีเดียว ท่ามกลางข่าวลือเรื่องการปฏิวัติซ้อนปฏิวัติที่มีเข้ามาอีกระลอก สร้างความสับสนให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จนท้ายที่สุดคณะปฏิรูปฯ จะต้องออกมาสยบข่าวดังกล่าวว่าเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น รวมทั้งมีความพยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นโดยการเตรียมถอนกำลังทหารออกจากกรุงเทพมหานครโดยเร็ว และคัดสรรนายกรัฐมนตรีรักษาการที่มาจากภาคของพลเรือนไม่ใช่ทหาร

แต่สิ่งที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจับตามองอยู่ในขณะนี้คือในช่วง 1 ปีก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น นโยบายของรัฐบาลรักษาการโดยเฉพาะในส่วนของนโยบายทางด้านเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติเชื่อว่าจะต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุนอีกครั้ง เพราะเรื่องการเมืองถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญของตลาดหุ้นทุกตลาด ดังนั้นสุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงแค่เกมการเงินที่เกิดขึ้นระหว่างข่ใหญ่เท่านั้น โดยที่นักลงทุนรายย่อยไม่สามารถตามได้ทัน

ด้านนายสุกิตติ์ ตั้งมณีนิมิต ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสถาบัน บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การที่เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึงกว่า 43,000 ล้านบาทนั้นถือว่ามีความผิดปกติ แต่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลก โดยส่วนใหญ่จะเป็นจะเป็นผลมาจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ เพราะมองว่าเหตุการณ์ในประเทศไม่เกิดความรุนแรง

อย่างไรก็ดี ในวันศุกร์ ดัชนีฯกลับปรับตัวลดลงมา มองว่าเกิดจากการที่มีประเด็นข่าวลือในเรื่องของการเกิดปฏิวัติอีกครั้ง รวมถึงการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากที่เข้ามาซื้อสุทธิเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ จากกรณีที่มีคนตั้งข้อสังเกตุว่านักการเมือง โดยเฉพาะฝั่งรัฐบาล อาจมีการเทขายออกมาหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นก็มีความเป็นไปได้ ซึ่งหากเป็นการขายหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีก็เชื่อว่าน่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างแน่นอน แต่หากเป็นประเภทหุ้นเก็งกำไรนั้นเมื่อราคามีการปรับลดลงมาแล้วนั้น ราคาหุ้นอาจจะไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวมากนัก

อย่างไรก็ดี มองว่าหากดัชนีฯปรัตัวลดลงมา ถือว่าเป็นจังหวะเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี โดยหุ้นที่น่าสนใจจะเป็นหุ้น ATC และ TTA เนื่องจากเป็นธุรกิจที่อิงกับราคาในตลาดโลก โดยไม่อิงกับปัจจัยที่ผันผวนในประเทศมากนัก ทั้งนี้ ประเมินราคาเหมาะสมหุ้น ATC อยู่ที่ 38 บาท ส่วนหุ้น TTA ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 30 บาท [/size:aa87345ab2">

ฟฟฟฟ2 ฟฟฟฟ2

 กลับขึ้นบน
arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
#1 วันที่: 24/09/2006 @ 19:51:55 : re: ระวังโดนฝรั่งหลอกต้ม
.000c
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com