??? สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 410 | วันที่: 28/09/2006 @ 09:52:44 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต .000021
ในที่สุด 45 ปีที่รอคอยก็มาถึง สำหรับท่าอากาศยาน หรือสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินที่แห่งความภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ สนามบินที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ ประชาสัมพันธ์ว่าทันสมัยที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นสนามบินที่จะหนุนให้ประเทศไทยเป็นฮับทางการบินของภูมิภาคอีกด้วย โดยในวันที่ 28 กันยายนนี้ ก็จะได้ฤกษ์เปิดบินอย่างเป็นทางการเสียที แม้ว่าในช่วงการปฏิรุปการปกครองเมื่อคืนวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะทำให้หลายฝ่ายหวั่นว่าการเปิดสนามบินอาจจะต้องเลื่อนออกไปอีก แต่ในที่สุดก็ได้รับคำยืนยันจากคณะปฏิรูปฯ ว่าจะไม่มีการเลื่อนแต่อย่างใด และนับจากนี้ก็สามารถนับถอยหลังรอการเปิดอย่างเป็นทางการของสุวรรณภูมิ เพื่ออวดต่อสายตาชาวโลกถึงความอลังการของสนามบินดังกล่าวได้
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีความหมายว่า แผ่นดินทอง โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อนี้ เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543 ที่ผ่านมา และเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2545 โดยสนามบินดังกล่าวใช้งบการลงทุนส่วนที่อยู่ภายในและภายนอกสนามบินทั้ง สิ้นประมาณ 150,000 ล้านบาท เป็นเงินลงทุนภาคราชการ และรัฐวิสาหกิจ 137,000 ล้านบาท และเอกชน 13,000 ล้านบาท ซึ่งสนามบินฯมีความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ 45 ล้านคนต่อปี ในระยะแรก
และจะสามารถรองรับได้ถึง 100 ล้านคนในระยะต่อไป และยังรองรับเที่ยวบินได้มากถึง 79 เที่ยวบินต่อ 1 ชั่วโมง ทั้งขาขึ้นและลง อีกทั้งยังรองรับในส่วนของคาร์โก (cargo) ได้ 3 ล้านตัน มากกว่าสนามบินดอนเมืองสามารถรองรับได้เพียง 1 ล้านตันเท่านั้น ในขณะที่รันเวย์มีการออกแบบให้รองรับน้ำหนักของอากาศยานแบบใหม่ได้ถึง 770 ตัน ขณะที่แอร์บัสแบบใหม่นั้นมีน้ำหนักประมาณ 500 ตัน
นอกจากนี้ อาคารผู้โดยสารมีพื้นที่ ประมาณ 563,000 ตารางเมตร ได้ ซึ่งเป็นอาคารที่รับการออกแบบให้มีความทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาคารผู้โดยสารมี 2 ส่วน ประกอบด้วยส่วนแรกอาคารผู้โดยสารสูง 7 ชั้น ส่วนที่สองเป็นชั้นใต้ดิน รวมทั้งมีสถานีรถไฟฟ้าใต้อาคารผู้โดยสารอาคารผู้โดยสาร นอกจากนี้ภายในอาคารมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น จุดตรวจบัตรโดยสาร 360 จุด จุดตรวจหนังสือเดินทางขาเข้า 124 จุด / ขาออก 72 จุด และมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบ 100% Hold Baggage In-line Screening System
เท่านั้นยังไม่พอสนามบินยังมีระบบสาธารณูปโภคที่สามารถป้องกันน้ำท่วม โดยมีการสร้างเขื่อนดินสูง 3.5 เมตร กว้าง 70 เมตร โดยรอบพื้นที่ มีอ่างเก็บน้ำภายใน 6 แห่ง ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้ 3.2 ล้านลูกบาศก์เมตร ระบบน้ำประปา เชื่อมต่อกับระบบประปาของการประปานครหลวง และมีถังน้ำประปาสำรองขนาด 40,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งสามารถสำรองน้ำประปาไว้ใช้ได้ 2 วัน สถานีแปลงไฟฟ้าย่อย เป็นสถานีแปลงไฟฟ้าเพื่อลดแรงดันไฟฟ้าจาก 115 กิโลโวลท์ ให้เหลือ 24 กิโลโวลท์ มีจำนวน 2 สถานี เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้แก่ทุกระบบภายในท่าอากาศยาน ระบบบำบัดน้ำเสีย สามารถบำบัดน้ำเสียได้ 16,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ระบบจัดเก็บกากของเสีย สามารถกำจัดกากของเสียได้ประมาณ 100 ตันต่อวัน
และสนามบินสุวรรณภูมิ ยังมีศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศ โดยมีหอบังคับการบินที่สูงที่สุดในโลก (132.2 เมตร) พร้อมระบบวิทยุสื่อสาร ระบบติดตามอากาศยาน และระบบนำร่องอากาศยานที่ทันสมัย มีโรงแรมตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร ซึ่งในระยะแรกมีจำนวน 600 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ นอกจากนี้ภายในท่าอากาศยาน จะมีการบริการต่างๆ มากมาย เช่น ศูนย์บริการรถเช่า ร้านค้า ภัตตาคาร สถานีเติมน้ำมัน ฯลฯ
ทั้งนี้จากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่มีแล้ว หากจะเท้าความกว่าจะมีวันนี้ของสนามบินสุวรรณภูมิ หรือก่อนหน้าที่เราเรียกกันว่าหนองงูเห่านั้น โครงการก่อสร้างดังกล่าวยืดเยื้อและเต็มไปด้วยปัญหาทั้งการก่อสร้าง ข่าวการทุจริต คอร์รัปชั่นที่มีหลากหลาย มาถึงครึ่งศตวรรษเลยทีเดียว เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ซึ่งรัฐบาลในสมัยนั้นได้ว่าจ้างบริษัท Litchfield Whiting Bowne and Associate ศึกษา และวางผังเมืองกรุงเทพฯ ผลการศึกษามีการเสนอให้ภาคมหานครของไทยเตรียมจัดให้มีสนามบินพาณิชย์แห่งใหม่ เนื่องจากมีการศึกษาว่าสนามบินดอนเมืองจะถึงจุดอิ่มตัวในปี 2543 เพราะฉนั้นหากไม่มีท่าอากาศยานแห่งใหม่จะกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว จนกระทั่งปี พ.ศ. 2504 กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาเปรียบเทียบสถานที่ก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่หลายบริเวณ และตกลงใจว่าพื้นที่ตำบลบางโฉลง ตำบลราชาเทวะ ตำบลหนองปรือ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เหมาะที่จะเป็นที่ตั้งท่าอากาศยานแห่งใหม่ แต่หลังจากนั้นแม้จะได้พื้นที่รวมไปถึงการดำเนินการเวนคืนที่ดินถึง 20,000 ไร่ แต่ก็ต้องใช้เวลาถึง 10 ปีเต็ม ในช่วงปี พ.ศ. 2506-2516 ในการศึกษารายละเอียด จนกระทั่งข่าวที่ฮือฮาไปทั่วโลก คือการการจ้างบริษัทปรึกษาการถมทราย หรือแม้แต่ล่าสุดก่อนจะเปิดทำการได้เมื่อปี 2548 ที่ผ่านมากับข่าวรจัดซื้อจัดจ้างเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด หรือ CTX บนสายพานลำเลียงภายในอาคารผู้โดยสาร จำนวน 26 เครื่อง รวมไปถึงกรณีสินบน 300 ล้านบาท ที่บริษัทเอกชนร้องเรียนกรณีคนใกล้ชิดนายกฯว่ามีส่วนพัวพันในการวิ่งเต้นเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งแต่ละครั้งเป็นการทุจริตที่มีมูลค่าเงินหลายพันหลายร้อยล้านบาททั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่อง CTX นั้นได้นำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในตอนนั้นด้วย
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาปัญหาการก่อสร้างก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างปัญหาให้กับสุวรรณภูมิไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางเทคนิค ในการก่อสร้างช่วงแรก ซึ่งพบปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่การก่อสร้าง เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าสุวรรณภูมิเป็นพื้นที่ต่ำ และง่ายต่อการที่น้ำจะท่วมถึง เพราะฉะนั้นกว่าจะมีการถมที่และก่อสร้างรันเวย์ได้สำเร็จต้องดำเนินการค่อนข้างนาน หรือแม้แต่เมื่อมีการก่อสร้างแล้วเสร็จก็มีปัญหาที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยเมื่อปี 2548 ที่ผ่านมากับการเกิดรอยร้าวบนรันเวย์จนเป็นข่าวเป็นทั่วโลก กว่าจะมีชี้แจงว่าเป็นเรื่องทางเทคนิคก็เกือบทำให้ประเทศเสียหน้าไปไม่น้อยเช่นกันแต่หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เงียบหายไปจนการก่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยและสามารถประกาศวันเปิดเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการได้ในวันที่ 28 ก.ย.
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนอุปสรรคกลับไม่ได้จบแค่นั้น เพราะการทดสอบเปิดสนามบินโดยการทดลองให้สายการบินในประเทศทดลองบินก่อนในวันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมา ก็เกิดปัญหากับสนามอีกครั้งหนึ่งหลังจากไฟฟ้าในสนามบินดับจนส่งผลการทดสอบระบบต้องหยุดไปนานพอสมควรกว่าที่จะแก้ปัญหาได้ จากนั้นอีกเพียงแค่ 4 วันต่อมาสนามบินก็ยังมีปัญหาอีกครั้ง เนื่องจากตรวจพบว่าหลังคาของอาคารผู้โดยสารมีรอยรั่วหลายสิบจุด แต่ทางผู้บริหารสนามบินก็ยืนยันว่าสามารถเร่งแก้ปัญหาได้ทันวันเปิดแน่ๆ หรือแม้แต่กระทั่งล่าสุดหมาดๆ กับเรื่องปาฏิหาริย์ที่ไม่คาดฝัน ชนิดที่ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ก็เกิดขึ้นกับการทำบุญสนามบินเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งล้วนแต่เกิดขึ้นกับสนามบินแห่งชาติทั้งสิ้น
|