.0007

[b:8e8eb12645">1) SHIN เผยไม่ได้ถือหุ้นโดยตรงใน ADV แล้ว หลังขายให้ CSL 39.91% [/b:8e8eb12645">
นางศิริเพ็ญ สีตสุวรรณ กรรมการ บมจ. ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) เปิดเผยว่า บริษัทได้ขายหุ้นสามัญในบริษัท เอดี เวนเจอร์ จำกัด (ADV) จำนวน 21,949,996 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 39.91 ของทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 0.64 บาทต่อหุ้น จำนวนรวม 14.05 ล้านบาท ให้แก่บมจ. ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) โดยทำรายการเรียบร้อยแล้วในวันที่ 27 กันยายน 2549 นี้ และภายหลังจากการเข้าทำรายการดังกล่าว บริษัทฯ ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงในบริษัท เอดี เวนเจอร์ จำกัด อีก

ทั้งนี้ รายการดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นรายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนตามประกาศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

[b:8e8eb12645">2) ทริสเรทติ้ง ยกเลิกอันดับเครดิตองค์กร ?NCH? [/b:8e8eb12645">

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยกเลิกอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง (NCH) ตามความประสงค์ของบริษัท เนื่องจากสัญญาจัดอันดับเครดิตได้สิ้นสุดลงแล้ว

ดังนั้น การยกเลิกอันดับเครดิตในครั้งนี้จึงมีผลให้การติดตามทบทวนผลการดำเนินงานของ บมจ. เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง ยุติลง โดยผลอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทในระดับ ?BBB/Negative? ที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้ ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงได้อีกต่อไป

^_^

ฟฟฟฟ2

[b:38f4f1eedf">3) GENCO ต่ออายุสัญญาเช่าดำเนินงานศูนย์แสมดำอีก 10 ปี [/b:38f4f1eedf">
นายสมยศ แสงสุวรรณ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ. บริหารและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (GENCO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามต่ออายุสัญญาเช่าและให้ใช้สิทธิในการดำเนินงานศูนย์บริการกำจัดกากอุตสาหกรรม (แสมดำ) และศูนย์วิจัยและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จังหวัดราชบุรีเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549

โดย บริษัทฯ เป็นผู้บริหารดำเนินการในศูนย์บริการกำจัดกากอุตสาหกรรม (แสมดำ) รวมถึงส่วนขยาย และศูนย์วิจัยและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จังหวัดราชบุรี เป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2549 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2559

[b:38f4f1eedf">4) BAY เลื่อนขายหุ้นเพิ่มทุนให้ GE เป็นภายใน 10 ม.ค. จากเดิม 10 ต.ค. [/b:38f4f1eedf">
นายพงศ์พินิต เดชะคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ธนาคารและ GE Capital International Holdings Corporation (GECIH) ได้ตกลงเลื่อนระยะเวลาการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในคราวแรก จากเดิมที่กำหนดให้การขายและจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้วของธนาคารแล้วเสร็จภายในวันที่ 10 ตุลาคม
2549 นี้ เลื่อนไปเป็นภายในวันที่ 10 มกราคม 2550

การขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขตามสัญญาปัจจุบันที่ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Subscription Agreement) โดยได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเฉพาะในส่วนที่มีผลกระทบจากการเลื่อนระยะเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ เงื่อนไขตามสัญญาการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Subscription Agreement) ที่ปรากฏในเอกสารที่ได้ส่งให้ผู้ถือหุ้นพร้อมกับหนังสือเชิญประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2549 ซึ่งรวมถึงราคาเสนอขายและจำนวนหุ้นที่เสนอขายไม่มีการเปลี่ยนแปลง

^_^

มะวาน ปิดบวก nch .000011

.0008

[b:01bad35cfe">5) ?AH?เครื่องแรงสวนตลาด [/b:01bad35cfe">

ราคาหุ้น AH วานนี้(28ก.ย.)ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางดัชนีตลาดที่ปรับตัวลดลง โดยเปิดตลาดที่ 15.40 บาท เพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 16.70 บาท และปิดตลาดที่ 16.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท หรือ 7.84% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 42 ล้านบาท

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด(มหาชน) ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มยานยนต์เท่ากับตลาด โดยแนะนำ ?ซื้อ? AH ราคาเป้าหมาย 19.50 บาท และ STANLY ราคาเป้าหมาย 180 บาท ซึ่งเป็นเพียง 2 บริษัทในกลุ่มที่ฝ่ายวิเคราะห์ แนะนำ ?ซื้อ? เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เริ่มชะลอตัว ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการชิ้นส่วนรถยนต์ที่ลดลงเนื่องจากต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น และอำนาจในการต่อรองราคาที่ต่ำ รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และทำให้แนวโน้มผลประกอบการโดยรวมของบริษัทผู้ประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยไม่ดีนัก จึงให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้เท่ากับตลาด

ส่วนคำแนะนำ ?ซื้อ? ส่วน AH เพราะราคาซื้อ-ขายหุ้นอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับมูลค่าทางบัญชี(บุ๊คแวลู) ที่ 15.40 บาท เท่านั้น สำหรับ STANLY เพราะสามารถควบคุมอัตราการสูญเสียได้ดี และมีอำนาจต่อรอง กับซัพพลายเออร์หลักเพิ่มขึ้น ดังนั้นกำไรขั้นต้นจึงเริ่มดีขึ้น และเปลี่ยนเป็นทิศทางขาขึ้น

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าตลาดได้รับรู้ถึงผลประกอบการในปีนี้ที่คาดว่าจะอ่อนตัวไปแล้ว จึงทำให้มีราคาหุ้นปรับตัวลดลงที่จำกัด ในขณะเดียวกันปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นในปีหน้า จากฐานลูกค้าที่กระจายตัวมากขึ้น, แรงกดดันจาก margin ที่ลดลง และน่าจะฟื้นตัวในปีหน้า จะทำให้ผลประกอบการในอนาคตเติบโต

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ จำกัด(มหาชน) ระบุว่า แนะนำให้ลงทุนหุ้นส่งออก หลังจากฝ่ายวิจัยได้ทำการศึกษาพบว่า การส่งออกของไทยจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ในช่วงไตรมาสที่ 3-4 และที่ผ่านมามักจะเป็นเช่นนั้นทุกปี ทั้งนี้แนวโน้มการส่งออกที่ยังดูดีนี้ น่าจะทำให้แนวโน้มของหุ้นในกลุ่มส่งออกอย่างอิเลกโทรนิกส์ และยานยนต์ ดีขึ้นตามลำดับไปด้วย

สำหรับหุ้นยานยนต์แนะนำ ?ซื้อ? AH ราคาเป้าหมาย 22.00 บาท ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลงมาเกือบ 40% นับจากต้นปี และเทรดอยู่ที่ PEG เพียง 0.5 เท่า โดย ณ ราคาปัจจุบัน AH ซื้อขายกันที่ P/E และ PB ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ที่ 8.3 เท่า และ 0.9 เท่า ประกอบกับผลประกอบการไตรมาส 3 คาดว่าจะดูดีจากเข้าสู่ฤดูกาลขาย ประโยชน์จากโรงงานของอีซูซุที่กลับมาผลิตเหมือนเดิม หลังจากที่หยุดไป 10 วันในไตรมาส 2 เนื่องจากเตรียมสายการผลิตสำหรับอีซูซุ ดีแมกซ์โมเดลใหม่ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดูดีขึ้นจากคำสั่งซื้อใหม่ๆ

ที่มา ทันหุ้น



^_^

.000004

[b:c139d22608">6) หุ้นCSPวิ่งนำรอวอร์แรนต์ [/b:c139d22608">

CSP เตรียมยื่นไฟลิ่งก.ล.ต. เพื่อขอออกวอแรนต์ฟรีให้กับผู้ถือหุ้นเดิมภายในสัปดาห์หน้า ส่วนการเจรจากับพันธมิตรจากจีนยังไม่ได้ข้อสรุป และยังเปิดทางรับรายอื่นหากได้ข้อเสนอดีกว่า ขณะที่ราคาหุ้นวิ่งหน้าตั้งแค่เดือนเดียวขยับขึ้นมาเกือบบเท่าตัว โบรกมองเทคนิคมีแนวโน้มอ่อนตัวตามแรงขายทำกำไร ใครถืออยู่แนะขายไปก่อน

ราคาหุ้น CSP วานนี้(28ก.ย.) เคลื่อนไหวคึกคักดันราคาขึ้นสูงสุดที่ 7.50 บาท และปิดตลาดที่ 7.15 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.70% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 23 ล้านบาท ซึ่งโบรกเกอร์มองว่าราคาหุ้นปรับตัวแรงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามแรงเก็งกำไรการแจกวอร์แรนต์หลังจากได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา

ส่วนกรณีการหาพันธมิตรเพื่อร่วมทุนทางธุรกิจนั้น นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงกับประเทศจีนในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน แต่ยังไม่สามารถระบุเวลาที่ชัดเจนได้ เพราะบริษัทยังเปิดรับพันธมิตรรายอื่นด้วยหากมีข้อเสนอที่ดีกว่า

นายวีรศักดิ์กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ที่ 3.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 2,741 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 1,215 ล้านบาท

นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ราคาหุ้นCSP เริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ระดับราคา 3.00 บาท ซึ่งคิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 100% จึงอาจมีแรงขายทำกำไรออกมา ดังนั้นแนะนำทยอยขายทำกำไร โดยให้กรอบลงทุนที่แนวรับ 6.50 บาท และแนวต้านที่ 7.50 บาท

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด(มหาชน)หรือASP กล่าวว่า จากกราฟสัญญาณทางเทคนิคในหุ้นCSP มีทิศทางอ่อนตัวลง หลังจากที่ราคาหุ้นได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำนิวไฮที่ 7.50 บาท จากราคาต่ำสุดในเดือนกรกฏาคมที่ 3.36 บาท

ส่วนราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มองว่าเป็นแรงเก็งกำไรนักลงทุนที่บริษัทเตรียมจะแจกวอแรนต์ฟรี

ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 4 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ หลังจากผู้ถือหุ้นอนุมติไปก่อนหน้านี้ โดยมองกรอบลงทุนที่แนวรับ 6.50 บาท และแนวต้านที่ 7.30 บาท

สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือน ปี 2549 บริษัทมีรายได้รวม จำนวน 1,215 ล้านบาท ลดลง 16.87% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีกำไรสุทธิ 24.64 ล้านบาท ลดลง 55.56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

เนื่องจากภาวะราคาเหล็กในตลาดโลกในช่วงปลายปี 2548 จนถึงปี 2549 ที่ผ่านมา มีการปรับราคาลดลงส่งผลให้ราคาเหล็กภายในประเทศมีการปรับราคาลดลงตาม โดยที่ราคาจำหน่ายเหล็กของบริษัทมีการปรับราคาลดลงประมาณ 10-12% ทำให้บริษัทมีมูลค่าการขายรวมสำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2549 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548

รวมทั้งภาวะอัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับตัวสูงขึ้น จึงส่งผลให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิสำหรับงวด 3 เดือนในไตรมาส 2 ปี 2549 เพิ่มสูงขึ้น 36.34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 ซึ่งบริษัทคาดว่าราคาเหล็กจะมีการปรับราคาสูงขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2549 อย่างต่อเนื่อง และสายการผลิตท่อเหล็กรีดเย็นที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ที่มา ทันหุ้น




^_^

.000007

[b:a32e49c4c5">7) PDIเก็งกำไรรับราคาสังกะสีเดือด [/b:a32e49c4c5">

โบรกเกอร์มองหุ้นผาแดงยังมีโอกาสเด้งได้ในระยะยาวรับราคาสังกะสีโลกที่พุ่งขึ้นสูง ชี้ราคาหุ้นยังห่างเป้าอีกไกลกว่า 10% ด้านบล.พัฒนสินปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 37.47 บาท แนะ ?เก็งกำไร?ประเมินผลประกอบการทั้งปีเติบโต 220% จากโค้งแรกของปีที่เก็บเข้ากรุแล้วเพียบ มั่นใจบริษัทจะจ่ายเงินปันผลได้สูงกว่าปีก่อนด้ชัวร์แนะ ?ซื้อ?

แหล่งข่าวจากวงการหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ราคาหุ้น บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด(มหาชน) PDI ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 10% เนื่องจากแนวโน้มอุตสาหกรรมยังดี ตามราคาสังกะสีโลกที่ยังมีแนวโน้มว่าราคาจะทรงตัวอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเหมืองได้ปิดตัวไปพอสมควร แต่ความต้องการใช้ยังโตปกติ ประมาณปีละ 7-8% โดยประเมินราคาเป้าหมายราคาหุ้นในปีนี้ไว้ที่ 41.00 บาท

สำหรับผลประกอบการทั้งปีของ PDI คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าปี 2548 และคาดว่าทั้งปีน่าจะจ่ายปันผลได้มากกว่าปีก่อน ตามกำไรที่เพิ่มมากขึ้น หรือขั้นต่ำจ่ายได้เท่าเดิมหรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 8% ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังผู้บริหารแจ้งว่ายอดขายลดลงจากครึ่งปีแรกเล็กน้อยแต่โตกว่าปีก่อน อีกทั้งราคายังทรงตัวอยู่ในระดับสูงจึงไม่น่ามีปัญหา

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด(มหาชน)ระบุว่า PDI สามารถเก็งกำไรได้ตามหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และสังกะสีในต่างประเทศ โดยมองราคาเป้าหมายที่ 37.47 บาท สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2549 ปรับตัวเพิ่มขึ้น203.63% ใกล้เคียงกับประมาณการเดิมทั้งปีที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการณ์ทั้งปีขึ้นเป็น 1,737 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 1,240 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 220% จากปีก่อน

นอกจากนี้แนวโน้มราคาสังกะสีที่ทรงตัวในระดับสูงยาวนานถึง 3 ปี ทำให้ฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มราคาพื้นฐานของหุ้น PDI ขึ้นเป็น 37.47 บาท อย่างไรก็ตามหากราคาสังกะสีเพิ่มขึ้นจาก 2,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เป็น 2,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ราคาพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นเป็น 38.90 บาท และคาดว่าผลตอบแทนดำเนินงานจะอยู่ที่ 3.84 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 10.67%

สำหรับสัญญาณทางเทคนิคคาดว่าจะแกว่งตัวออกด้านข้าง โดยประเมินแนวต้านไว้ที่ 37.25 บาท-37.50 บาท แนวรับที่ 34.50และ 34.00 บาท

นักวิเคราะห์ทางเทคนิคบริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่าราคาหุ้น PDI ได้ปรับขึ้นไปรับข่าวราคาสังกะสีโลกที่ทรงตัวในระดับสูงแล้ว จึงน่าจะมีการขายทำกำไรออกมาทำให้มีแนวโน้มปรับตัวลง ดังนั้นนักลงทุนที่จะเข้าลงทุนในหุ้นดังกล่าวฝ่ายวิจัยแนะนำ เล่นตามกรอบแนวรับและแนวต้านที่ 33.00- 36.00 บาท

ราคาหุ้น PDI ( 28 ก.ย.49) ปิดซื้อขายที่ 35.75 บาท ลดลง 0.25 บาท มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 20.88 ล้านบาท [/color:a32e49c4c5">

ที่มา ทันหุ้น


^_^

.000003

[b:5543f25776">8) --CK ซื้อหุ้น BMCL ผ่านตลาดฯ รวม 637.18 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 1.29 บ. [/b:5543f25776">
[b:5543f25776">9) KTBดันเป้าค่าฟีเพิ่ม40-50% [/b:5543f25776">

โบรกเกอร์คาดแบงก์กรุงไทยรับอานิสงส์เงินปันผลวายุภักษ์เกือบ 1 พันล้านบาท ดันกำไรไตรมาส 3โต 22.2% ส่วนสินเชื่อมีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากติดลบ 2 เดือนซ้อน ขณะที่ผู้บริหารแบงก์มั่นใจภายใน 4-5 ปีจะเป็นธนาคารที่มีระบบชำระเงินดีที่สุดที่ถูกเลือกจากภาครัฐและเอกชน เร่งสปีดรายได้ค่าฟีโต 40-50% หวังเป็นฐานรายได้หลักในอนาคต ให้แนวต้าน 11.80-12.00 บาท แนวต้านถัดไปที่ 12.20 บาท แนวรับ 11.10 บาท

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2549 ของธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) KTB คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 4.6 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22.2%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเนื่องจากจะมีรายได้พิเศษจากการจ่ายปันผลของกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 1 พันล้านบาท

สำหรับสินเชื่อและเงินฝากเริ่มขยายตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเห็นได้?จากยอดสินเชื่อสุทธิเดือนสิงหาคม 2549 ที่กลับมาเติบโตอีกครั้ง 1.1% จากเดือนก่อน หลังจากที่ติดลบต?อเนื่องในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ทั้งนี้คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อสุทธิในไตรมาส 3/2549 ประมาณ1.5% จากไตรมาสก่อน แต?โดยรวมแล?วคาดว?สินเชื่อสุทธิในรอบ 9 เดือนเพิ่มขึ้น 2.4%จากสิ้นป? 2548 แต่ยังต่ำกว?เป?หมายทั้งป? 2549 ซึ่งฝ?ยวิจัยคาดว่าจะเติบโต 4%จากปีก่อนเล็กน?อย

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยแนะนำ?ถือ? KTB โดยให้ราคาเหมาะสม 10.40 บาท เพราะราคาปัจจุบันได้ปรับขึ้นมามากเกือบถึงราคาเหมาะสมที่ประเมินแล้ว อีกทั้งแนวโน้มไตรมาส 4/2549 ผลประกอบการมีแนวโน้มลดลงเพราะการปล่อยสินเชื่อยังไม่ฟื้นตัวและไม่มีรายการพิเศษ รวมทั้งมีความเสี่ยงจากการตั้งสำรองหนี้เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้มีความเสี่ยงจากการบันทึกส?วนแบ?งผลขาดทุนจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ที่โอนไปยังบสท. ซึ่งยังไม?มีความชัดเจนในขณะนี้

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ KTBกล่าวว่า ธนาคารตั้งเป้าเป็นธนาคารที่มีระบบชำระเงินดีที่สุด(Best payment bank)เพื่อรองรับระบบการชำระเงินผ่านธนาคาร ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะการชำระเงินของภาครัฐเท่านั้น อีกทั้งในอีก 4-5 ปี ข้างหน้าจะสามารถทำธุรกรรมระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์(GFMIS)ได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารเพิ่มเป็น 40-50%ของรายได้ทั้งหมด และจะกลายเป็นรายได้หลักของธนาคารในอนาคต

สำหรับการทำธุรกรรม GFMIS ปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างเริ่มต้น จึงยังไม่เห็นสัดส่วนรายได้ที่ชัดเจน แต่ในอนาคตธนาคารจะทำธุรกรรมการโอนเงินภาครัฐได้ทั้งหมด ซึ่งธนาคารเป็นธนาคารของรัฐที่มีระบบรองรับอยู่แล้วจึงได้เปรียบกว่าธนาคารอื่น ทั้งนี้ปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 10% ซึ่งต่ำกว่าธนาคารใหญ่อื่นที่มีอยู่ 20-30% เนื่องจากธนาคารได้แยกธุรกิจบัตรเครดิตออกไป จึงทำให้สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าระบบ

นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า หุ้นKTBจะมีแนวต้าน 11.80 บาท แนวรับ 11.00 บาท ซึ่งราคาหุ้นได้ปรับขึ้นไปบ้างแล้ว จึงแนะนำ?ขาย? เพราะหากภาวะตลาดไม่ดีหุ้นกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มจะถูกเทขายเพราะก่อนหน้านี้ราคาปรับขึ้นไปทั้งกลุ่ม

นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า KTB จะมีแนวต้าน 12.00 บาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเดิม ซึ่งหากผ่านแนวต้านดังกล่าวได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 12.20 บาท ส่วนแนวรับอยู่ที่ 11.10 บาท

KTB(28 ก.ย.)ปิดที่ 11.60 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 0.85% มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 148.14 ล้านบาท [/color:5543f25776">
ที่มา ทันหุ้น

^_^

.000011

[b:0cb449093e">10) IEC ลบ 2.4% โบรกแนะเลี่ยงคาดทำเทนเดอร์ BLISS บางส่วน-หวั่นใช้เงินสูง [/b:0cb449093e">

หุ้น IEC ราคาไหลลง 2.40% มาอยู่ที่ 1.63 บาท ลดลง 0.04 บาท มูลค่าซื้อขาย 42.94 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.37 น. โดยเปิดตลาดที่ 1.69 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1.70 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 1.63 บาท

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก แนะหลีกเลี่ยงหุ้น IEC หากมติผู้ถือหุ้นในวันที่ 15 พ.ย. เห็นชอบกับการขาย IEC Mobile ให้กับ BLISS และยอมรับการชำระเงินด้วยการเข้าถือหุ้น BLISS อีก 47 ล้านหุ้นสัดส่วน 16.97% @ 4.50 บาท จะส่งผลให้บริษัทถือหุ้น BLISS ในสัดส่วน 37.19% เข้าข่ายที่จะต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น BLISS ทั้งหมด (Tender Offer) ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินในการเข้าซื้อครั้งนี้ราว 800 ล้านบาท

หากพิจารณาฐานะการเงินของ IEC ณ สิ้นไตรมาส 2/49 พบว่า มีเงินสดในมือคงเหลือ 156 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 48 ที่ 465 ล้านบาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 775 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสะสมจำนวน 81 ล้านบาท อีกทั้งมีผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2/49 ที่192 ล้านบาท ซึ่งการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ BLISS จะต้องใช้เงินมากถึง 800 ล้านบาท แต่ทว่า IEC อาจจะทำคำเสนอซื้อหุ้นเพียงบางส่วน (Partial Offer) โดยจะต้องได้รับความเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของผู้ถือหุ้นทั้งหมด
[/color:0cb449093e">
^_^

.000009

[b:d6275df62d">11) สหรัฐฯ ตัดเงินช่วยทหารไทยหลายล้าน$ ประท้วง รัฐประหาร [/b:d6275df62d">

เอเอฟพี - สหรัฐฯ ตัดลดเงินช่วยเหลือด้านการทหารหลายล้านดอลลาร์ เพื่อประท้วงที่คณะปฏิรูปฯ ทำรัฐประหารขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงได้รับเงินช่วยเหลือบางส่วนจากหน่วยงานด้วนความมั่นคงของสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย

การตัดลดเงินช่วยเหลือครั้งนี้ส่งผลให้ความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอันต้องสั่นคลอน

เพื่อตอบโต้การทำรัฐประหารในไทยเมื่อวันที่ 19 กันยายน สหรัฐฯ ได้ระงับเงินช่วยเหลือด้านการทหารเกือบ 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ให้แก่รัฐบาลไทย ฌอน แม็คคอร์แม็ก โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว โดยเงินช่วยเหลือที่ถูกตัดออกนี้เป็นเงินช่วยด้านการเงินของกองทัพต่างชาติ เงินสำหรับการฝึกอาวุธและการศึกษาของกองทัพ และเงินเพื่อใช้ในการปฏิบัติการรักษาสันติภาพ

สหรัฐฯ ยังคงเรียกร้องไทยให้กลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยและจัดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด แม็คคอร์แม็กเผยและว่า เรากำลังรอให้มีการกลับเข้าสู่โครงการเหล่านี้ หลังจากที่ไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว

ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่า การตัดลดเงินช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปโดยอัติโนมัติภายใต้กฎหมายสหรัฐฯ ที่บัญญัติไว้ว่าห้ามให้เงินช่วยเหลือรัฐบาลจากประเทศที่รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งถูกทำรัฐประหาร

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐฯ จะยังคงเงินช่วยเหลือจำนวน 9.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ไทย ซึ่งทางสหรัฐ ถือว่าเป็นการให้เพื่อผลประโยชน์ของชาติในการต่อต้านการกับภัยก่อการร้าย อาวุธทำลายล้างสูง และต่อสู้กับโรคติดต่อ

ก่อนหน้านี้ หนังสื่อพิมพ์สตาร์และสตริปส์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่ตีพิมพ์ให้ฌแพาะสำหรับกองทัพสหรัฐฯ ก็มีรายงานว่า ทางสหรัฐฯ ได้ระงับภารหกิจด้านการป้องกันของทหารสหรัฐฯ ที่อยู่ในประเทศไทยชั่วคราว

โดย ผู้จัดการ


[b:d6275df62d">12) THECOแจงค่าฟี-รายการกู้ยืมเงินเหล็กบูรพา [/b:d6275df62d">

นายธีระวัฒน์ เนืองนอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยฮีทเอ็กซ์เช้นจ์ จำกัด (มหาชน) หรือTHECOเปิดเผยว่าตามที่บริษัทได้ชี้แจง ข้อสอบถามของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้สอบถามถึงงบการเงินของไตรมาส 2 ปี 2549 และการลงทุนในบริษัทเหล็กบูรพาอุตสาหกรรม จำกัด (เหล็กบูรพา) บริษัทฯ ขอชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม ว่าจากหนังสือชี้แจง ฉบับที่ 53/2549 ลว.5 กันยายน 2549 บริษัทฯ ขอชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าที่ปรึกษาในการสรรหานักลงทุนของบมจ. ไทยฮีทเอ็กซ์เช้นจ์ ให้กับบริษัท ซีเจเอ็ม คอนซัลท์ จำกัด ในอัตราร้อยละ 3 ของมูลค่าเงินลงทุนรวม เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเฉพาะกาล ซึ่งชำระเมื่องานแล้วเสร็จ โดยไม่มีเงื่อนไขสำคัญอื่นใดอันจะก่อให้เกิดภาระผูกพันที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือฐานะทางการเงินของบมจ.ไทยเอ็กซ์เช้นจ์ ต่อไป

และจากหนังสือชี้แจง ฉบับที่ 59/2549 ลว. 26 กันยายน 2549 บริษัทฯ ขอชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินระยะสั้น จาก บุคคลภายนอกจำนวน 7 ท่าน ตามรายละเอียดของหนังสือ ฉบับที่ 59/2549 นั้นบุคคลผู้ให้กู้ยืมเงินจำนวน 5 ท่าน เป็นเพียงบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวโยงใดๆ ต่อบริษัท เหล็กบูรพา อุตสาหกรรม จำกัด และ บมจ. ไทยฮีทเอ็กซ์เช้นจ์ ซึ่งมีความสนใจให้สินเชื่อแก่ บริษัท เหล็กบูรพา อุตสาหกรรม จำกัด ตามคำแนะนำและชักชวนของ บริษัท ซีเจเอ็ม คอนซัลท์จำกัด เท่านั้น ส่วน นายศิริวัฒน์ อนันต์คูศรี และ นางวัชรีย์ ฐิติภาณุเวช ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ไทยฮีทเอ็กซ์เช้นจ์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 17,500,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 2.43 และ13,820,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 1.92 ของทุนจดทะเบียน ตามลำดับ โดยเป็นการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2549


โดย ผู้จัดการ


^_^

.000007

[b:740f3ca03b">13) หยั่งเสียงเลขาฯ UN รอบ 3 สุรเกียรติ์ร่วงที่ 4 เกาหลียังนำลิ่ว [/b:740f3ca03b">

บัน คี มุน(ซ้าย) รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ยังคงมีคะแนนนำลิ่วมาเป็นที่ 1 ขณะที่นายสุรเกีรยติ์คะแนนลดฮวบตกไปอยู่ที่ 4


เอเอฟพี - คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหยั่งเสียงเลือกเลขาฯ ยูเอ็นรอบ 3 สุรเกียรติ์ร่วงไปอยู่ที่ 4 ขณะที่ อันดับ 1 และ 2 ยังเป็นตัวแทนจากเกาหลีใต้และอินเดียเหมือนเดิม

วานนี้ (28) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเปิดให้มีการลงคะแนนเสียงอย่างไม่ทางการรอบที่ 3 เพื่อเลือกเลขาธิการสหประชาชาติคนต่อไปที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทน โคฟี อันนัน ซึ่งกำลังจะหมดวาระลง ผลปรากฏว่า บัน คี มุน รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ยังคงมาเป็นอันดับที่ 1 ตามมาด้วย ชาชิ ธารูนร์ ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติชาวอินเดีย

หวัง กวงหยา เอกอัครราชทูตจีนประจำสหประชาชาติเผยว่า บัน คี มุนได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง 13 เสียง ไม่สนับสนุน 1 เสียง และงดออกเสียงอีก 1 เสียง โดยคะแนนของตัวแทนจากเกาหลีใต้ลดลงเล็กน้อยจากการลงคะแนนครั้งก่อนที่เขาได้รับเสียงสนับสนุนถึง 14 เสียง สำหรับชาชิ ธารูนร์ ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติฝ่ายประชาสัมพันธ์ชาวอินเดีย ซึ่งตามมาเป็นที่ 2 ได้รับคะแนนสนับสนุน 8 เสียง ไม่สนับสนุน 3 เสียง และงดออกเสียง 4 เสียง

ส่วนนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีรักษาการของไทยตกจากอันดับที่ 3 ไปอยู่ที่ 4 โดยได้คะแนนสนับสนุน 5 เสียง ไม่สนับสนุน 7 เสียง และงดออกเสียงอีก 3 เสียง ลดลงจากการหยั่งเสียงครั้งก่อนที่ได้รับเสียงสนับสนุนถึง 9 ไม่สนับสนุน 3 และงดออกเสียง 3 เสียง ขณะที่ผู้ที่เข้ามาเป็นที่ 3 แทนนายสุรเกียรติ์ คือ ไวรา วิเค-ไฟรเบอร์กา ประธานาธิบดีสตรีลัตเวีย ซึ่งเพิ่งจะประกาศลงชิงชัยเมื่อไม่นานมานี้ โดยเธอได้คะแนนสนับสนุน 7 เสียง ไม้สนับสนุน 6 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง สำหรับผู้สมัครอีก 3 คน คือ ชยันธา ธนปาลา อดีตหัวหน้าคณะปลดอาวุธของยูเอ็นชาวศรีลังกา เจ้าชายเอซิด อัล ฮุสเซน เอกอัครราชทูตจอร์แดนประจำยูเอ็น และอัชราฟ กานี อดีตรัฐมนตรีคลังอัฟกานิสถาน ได้เสียงสนับสนุนคนละ 3 เสียง

ทั้งนี้ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้สมัครคนใดแสดงท่าทีว่าจะถอนตัวจากการแข่งขัน และคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นมีกำหนดลงคะแนนอย่างไม่เป็นทางการครั้งใหม่ในวันจันทร์ (2) นี้ ซึ่งจะมีรูปแบบแตกต่างไปจากครั้งก่อน ๆ กล่าวคือ สมาชิกถาวร 5 ชาติจะใช้ใบลงคะแนนที่มีสีต่างจากสมาชิกหมุนเวียน 10 ชาติ เสียงคัดค้านจากสมาชิกถาวรเพียง 1 เสียงจะปิดฉากการชิงชัยของผู้สมัครคนนั้นทันที

กระบวนการคัดเลือกเลขาธิการยูเอ็นคนใหม่เดินหน้าเร็วขึ้น เนื่องจาก จอห์น โบลตัน เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำยูเอ็น เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงฯ เลือกเลขาธิการยูเอ็นให้ได้ภายในต้นเดือนตุลาคม เพื่อเสนอให้ที่ประชุมสมัชชาใหญ่ยูเอ็น 192 ประเทศให้ความเห็นชอบ ด้าน นัสซีร์ อัล นัสเซอร์ เอกอัครราชทูตกาตาร์ประจำยูเอ็นเผยว่า คณะมนตรีความมั่นคงฯ จะลงคะแนนเลือกเลขาธิการยูเอ็นอย่างเป็นทางการในสัปดาห์ที่สองหรือสามของเดือนตุลาคม


โดย ผู้จัดการ[/color:740f3ca03b">
^_^

.0008

[b:456d60cc30">14) หุ้นกลุ่มยานยนต์ปรับขึ้น โบรกฯชี้รับผลดีหลังราคาน้ำมันลง-ดบ.เริ่มนิ่ง [/b:456d60cc30">

หุ้นกลุ่มยานยนต์ราคาขยับขึ้น โดยเมื่อเวลา 11.10 น.ดัชนีหุ้นกลุ่มยานยนต์เคลื่อนไหวมาอยู่ที่ 304.15 จุด เพิ่มขึ้น 2.92 จุด(+0.97%)

นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มยานยนต์ ราคาปรับขึ้นเนื่องจากยอดขายรถยนต์จะปรับขึ้นตามฤดูกาลในช่วงไตรมาส 4 เป็นสัญญาณที่ดีต่อผู้ผลิตยานยนต์ ที่จะเร่งผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายเป็น Sentiment ที่ดี

ขณะที่ปัจจัยลบเรื่องการ Discount หรือการให้ส่วนลดการผลิตค่ายรถ
ที่เคยเป็นปัจจัยกดดันอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการกลุ่มยานยนต์ในช่วงที่ผ่านมาตอนนี้ปรับตัวดีขึ้น เพราะมีรถยนต์โมเดลใหม่ออกสู่ตลาด ผู้ผลิตยานยนต์ได้ผลดีซึ่งการออกโมเดลใหม่ๆ จะได้มาร์จินที่สูงขึ้น รวมทั้งแรงกดดันด้านต้นทุนลดลงจากราคาน้ำมันที่ลดลง และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยปีหน้าจะอ่อนลงจากปีนี้

ฝ่ายวิจัยแนะซื้อ AH และ TSC ส่วน KPN YNP เป็นเพียงแค่การเก็งกำไรมากกว่า เพราะปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้แข็งแกร่งเท่าหุ้นที่แนะนำซื้อ
โดย AH ให้ราคาเป้าหมาย 19.80 บาท และ TSC เป้าหมาย 12.30 บาท
ขณะที่ บล.ยูไนเต็ด ให้คำแนะนำซื้อ หุ้นกลุ่มยานยนต์ เนื่องจากคาดยอดขายในประเทศปรับตัวดีขึ้นหลังราคาน้ำมันลดลงและดอกเบี้ยในประเทศยุติ รวมทั้ง การส่งออกที่ดีขึ้น

ทั้งนี้เมื่อเวลา 11.10 น.
หุ้น AH อยู่ที่ 16.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท (+1.82%)
หุ้น YNP อยู่ที่ 7.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท (+4.29%)
หุ้น KPN อยู่ที่ 14.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท (+1.37%)
หุ้น STANLY อยู่ที่ 148.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท (+0.68%)
หุ้น TSC อยู่ที่ 9.30 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง



^_^

.0007

[b:1a6b8ddc89">15) หุ้นกลุ่มแบงก์ยังลงต่อ โบรกฯมองขายทำกำไร-โยกเงินซื้อหุ้น IPO แบงก์จีน [/b:1a6b8ddc89">

หุ้นกลุ่มธนาคาร ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องจากวานนี้ โดยเมื่อเวลา 11.54 น. ดัชนีหุ้นกลุ่มแบงก์เคลื่อนไหวอยู่ที่ 259.63 จุด ลดลง 1.27 จุด(-0.49%)

นายวรุฒน์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า หุ้นกลุ่มแบงก์ที่อ่อนลง เป็นผลจากการคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 3/49 อาจจะชะลอลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/49

และอีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นโยกเงินออกเพื่อเตรียมจองซื้อหุ้น ICBC ซึ่งเป็นหุ้นธนาคารของจีนและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในกลางต.ค.นี้ อาจจะดึงความสนใจของต่างชาติไป

ส่วนบทวิเคราะห์ของ CLSA ที่แนะขายกลุ่มธนาคารพาณิชย์คงจะมีผลบ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมดซึ่งลูกค้าของ CLSA จะเข้าเร็วออกเร็วอยู่แล้ว

ทั้งนี้ เชื่อว่าในที่สุดนักลงทุนก็จะกลับเข้ามาลงทุนในกลุ่มแบงก์ เมื่อการปล่อยสินเชื่อกลับมาประมาณไตรมาส 4 โดยมองพื้นฐานของแบงก์ไม่ได้แย่ ฝ่ายวิจัยแนะOverweightหุ้นกลุ่มแบงก์ เพียงแต่ช่วงสั้นมีปัจจัยเข้ามากระทบบ้าง

ด้านน.ส.ปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า หุ้นกลุ่มแบงก์ที่ปรับลง ถ้าดูจากราคาหุ้นถือว่าหุ้นแบงก์เทรดที่ PE ค่อนข้างจะสูงโดยในช่วงที่ผ่านมาเทรดที่ PE เกือบ 11 เท่า ในระยะสั้นจึงเกิดแรงขายทำกำไรออกมา และช่วงปลายเดือนต.ค.นี้ มีเรื่องการทำ IPO ของหุ้นแบงก์ในจีนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอาจจะเป็นไปได้ที่จะมีการ Switch เงินออกไปลงทุนตรงนั้น

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 11.54 น.
หุ้น BBL อยู่ที่ 108.00 บาท ลดลง 1.00 บาท (-0.92%)
หุ้น KTB อยู่ที่ 11.50 บาท ลดลง 0.10 บาท (-0.86%)
หุ้น BAY อยู่ที่ 17.30 บาท ลดลง 0.50 บาท (-2.81%)
หุ้น SCIB อยู่ที่ 19.70 บาท ลดลง 0.10 บาท (-0.51%)
หุ้น KBANK อยู่ที่ 67.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
หุ้น SCB อยู่ที่ 60.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง


^_^

ฟฟฟฟ2

[b:54d574c9f0">16) บิ๊กล็อตเช้านี้ TOP มูลค่าสูงสุด 51.46 ลบ.ราคาเฉลี่ย 60.55 บ./หุ้น [/b:54d574c9f0">

ปิดตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้ พบมีการซื้อขายบิ๊กล็อต 10 หลักทรัพย์ 20 รายการ
พบ TOP มีมูลค่าสูงสุด 51.46 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 60.55 บาท
รายงานหลังปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้
พบว่ามีการทำรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ (BIG LOT) จำนวน 10 หลักทรัพย์ 20 รายการ ดังนี้

หลักทรัพย์ รายการ จำนวนหุ้น มูลค่า (บาท) ราคาเฉลี่ย (บาท)
TOP 8 850,000 51,465,000.00 60.55
KTB 1 3,350,000 38,525,000.00 11.50
BBL-F 2 300,000 33,600,000.00 112.00
SCC 1 100,000 23,800,000.00 238.00
ADVANC-F 1 204,600 18,465,150.00 90.25
KBANK 2 250,000 16,750,000.00 67.00
BBL 2 80,000 8,640,000.00 108.00
MCOT 1 200,000 5,950,000.00 29.75
EGCOMP 1 55,000 4,427,500.00 80.50
KBANK-F 1 55,400 3,767,200.00 68.00


*ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

.000003

[b:3b2cc06135">17) MINT ตั้งเป้าขยายสาขาร้านเดอะพิซซ่าเป็น 170 แห่งจาก 160 แห่งขณะนี้ [/b:3b2cc06135">

นายพอล เคนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ในเครือของบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) คาดว่า ภายในสิ้นปีนี้จะขยายสาขาร้านเดอะพิซซ่า คอมปานีเป็น 170 สาขา จากปัจจุบันที่มี 160 สาขา
สำหรับในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าเมนูใหม่ของเดอะ พิซซ่า คือ Crunchy Cheese Crust Pizza จะทำยอดขายเติบโตได้ 30%
คาดว่ายอดขายรวมปีนี้จะโตขึ้น 20% จากปีที่ผ่านมานายพอล กล่าว[/color:3b2cc06135">


^_^

.000002

[b:c5c2786a4c">18) PE&T ขายหุ้นกุลธรพรีเมียร์ให้ KKC เกลี้ยงพอร์ต 10.66% [/b:c5c2786a4c">

นางดวงทิพย์ เอี่ยมรุ่งโรจน์ กรรมการ บมจ. พรีเมียร์ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เทคโนโลยี่ (PE&T) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (29 ก.ย.) บริษัทได้จำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทถืออยู่ในบริษัท กุลธรพรีเมียร์ จำกัด จำนวน 533,196 หุ้น ให้กับบมจ. กุลธรเคอร์บี้ (KKC) ในราคาหุ้นละ 87 บาท เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 46,388,052 บาท ทั้งนี้ หุ้นที่จำหน่ายดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 10.66 ของทุนจดทะเบียนของบริษัท กุลธรพรีเมียร์ จำกัด [/color:c5c2786a4c">

^_^