April 28, 2024   1:06:28 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เซียนหุ้นเชียร์ซื้อบลูชิป"SCC"
 

samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
วันที่: 13/10/2006 @ 01:28:26
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เหล่าโบรกเกอร์ปักหลักเชียร์ซื้อหุ้นปูนใหญ่ ดีดลูกคิดผลงานไตรมาส3 กำไรตุง เหตุได้แรงดันจากธุรกิจปิโตรฯ หากไม่รวมผลขาดทุนด้อยค่าของกิจการ Thai CRT ท่ามกลางวานนี้ สถาบัน-ตปท.ลุยซื้อหุ้นไทยกว่า 1.88 พันลบ. ขณะที่นครหลวงไทยทำนาย SCC กำไรกระฉูดกว่า 8 พันลบ. -เคจีไอคาดกำไร 8.5 พันลบ.-กิมเอ็งให้ 8.9 พันลบ.และโกลเบล็กดีดลูกคิดน่าจะกวาด 8.6 พันลบ. งานนี้ใครจะเข้าเป้ากว่ากัน 25 ต.ค.นี้SCC จะแถลงตัวเลขของจริงให้ดูกันจะจะ

หุ้นปูนใหญ่ หรือ SCC ปักหลักยืนได้อีกครั้ง โดย 7 วันที่ผ่านมา พุ่งขึ้น7.75% ซึ่งนับจากวันที่ 3 ต.ค.49 ราคาหุ้นSCC ปิดที่ 232 บาทและวานนี้(12ต.ค.) ปิดที่บริเวณ 250 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท ปริมาณการซื้อขาย 1,056.46 ล้านบาท สะท้อนเห็นถึงความนิยมในกลุ่มนักลงทุนทั้งสถาบันในประเทศและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหนก็ตาม โดยกิจการปูนใหญ่ เป็นตัวแปรหรือดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจไทยว่า จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด

ขณะที่โบรกเกอร์หลายแห่งล้วนแนะนำให้ซื้อลงทุนในหุ้น SCC ได้ ดังนั้นวันนี้(13ต.ค.)ราคาหุ้นSCC จะเดินหน้าต่อเนื่องหรือไม่ ล้วนน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ท่ามกลางนักลงทุนต่างชาติหวนกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยวานนี้ (12ต.ค.) ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,652.83 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 230.87 ล้านบาทและนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,883.69 ล้านบาท ส่วนดัชนีตลาดปิดที่ 709.67 จุด เพิ่มขึ้น 11.85 จุด มูลค่าซื้อขาย 18,023.36 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามการซื้อหุ้นของต่างชาติและสถาบันวานนี้ นับเป็นสัญญาณที่ดี...ขณะที่โบรกเกอร์หลายแห่งได้คาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส3ปีนี้ของ SCC ออกมาล้วนดีกว่าไตรมาส2ที่ผ่านมา หากไม่รวมผลขาดทุนด้อยค่าของกิจการ Thai CRT ส่วนใครจะแม่นกว่ากัน 25 ต.ค.นี้คงรู้กัน เพราะ SCC ได้นัดแถลงผลประกอบการไตรมาส3/49

**นครหลวงไทยคาดปูนใหญ่
โกยกำไรกว่า8พันลบ.

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวถึง บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)ที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นว่า คาดว่าคงเกิดจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ที่กลับเข้ามาลงทุนซึ่งก็จะเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาโดดเด่น ซึ่งหนุ่งในนั้นก็คือ SCC โดยหากประเมินผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2549แล้ว คาดว่ากำไรสุทธิจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 7,632 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2/2549เป็น 8,301 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้รวมที่จะต้องทำการบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์จากธุรกิจหลอดภาพโทรทัศน์สีมูลค่ากว่า4,000-5,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดีรายการดังกล่าวเป็นเพียงแค่ตัวเลขทางบัญชีที่จะต้องบันทึก ซึ่งไม่กระทบต่อกระแสเงินสดของกิจการ ส่งผลให้ SCC ยังคงสามารถรักษาระดับของ EBITDA ที่สูงถึง40,000-50,000ล้านบาท ในขณะที่รายได้รวมของ SCC ในไตรมาสที่ 3/2549 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 63,754 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2/2549 เป็น 66,278 ล้านบาท จากการที่ธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวดีขึ้นเพราะฉะนั้นจึงส่งผลให้กำไรในธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งถือคิดเป็น 50% ของรายได้รวมช่วยส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3/2549 ปรับตัวดีขึ้น

ขณะที่ธุรกิจกระดาษและซีเมนต์มีสัดส่วนรายได้ต่อยอดขายรวมเท่ากับ 16% และ15% ตามลำดับแม้ว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ เพราะธุรกิจปิโตรเคมีมีอัตราการเติบโตสูงและคาดจะทำให้ SCC สามารถจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2549 ได้ในอัตราหุ้นละ15บาทได้ โดยได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวด ไตรมาสที่ 1/2549ในอัตราหุ้นละ 7.50 บาท โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลต่อปีที่ 6.47%

ราคาหุ้น SCC ปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมในปี 2550ดังนั้นยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยประเมินมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 288 บาทต่อหุ้นนักวิเคราะห์กล่าว

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส กล่าวว่า บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และคาดว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2549น่าจะออกมาอยู่ในระดับที่ดีมาก หากเทียบกับไตรมาสที่ 2/2549 ซึ่งจะได้รับผลดีจากการที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นเพราะฉะนั้นจะส่งผลดีต่อมาร์จิ้นให้ปรับเพิ่มขึ้นได้มากแม้ว่าธุรกิจกระดาษและซีเมนต์จะยังคงอยู่ในระดับทรงตัวก็ตาม
ทั้งนี้ แนะนำ Overweight หุ้น SCC ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 274 บาทต่อหุ้น

**สินเอเซียแนะใครสนSCC
ให้รอช้อน244-240บ.

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทางเทคนิค บล.สินเอเซีย ประเมินว่า ราคาหุ้น SCCยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย และเชื่อหลังจากนั้นคงจะมีแรงเทขายออกมาเนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นมาติดต่อกัน 3 วันทำการแล้ว

ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนที่มีหุ้น SCC อยู่ให้ขายทำกำไร หรือนักลงทุนที่ต้องการจะเข้าลงทุน แนะนำให้รอรับบริเวณ 244-240 บาท
โดยให้แนวต้านไว้ที่ 254 บาท ในขณะที่แนวรับให้ไว้ที่ 244-240 บาท

**เคจีไอประเมินปูนใหญ่
คลอดงบQ3กวาด8.5พันลบ.
ของจริง บ.เตรียมโชว์25ต.ค.
บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)(KGI)เปิดเผยว่า คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติไตรมาส 3/2549 SCC เท่ากับ 8,501 ล้านบาท ธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีจะเป็นแรงผลักให้รายได้สำหรับ SCC ในไตรมาส 3/2549เติบโตขึ้น 6.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนและ เติบโต12.5% จากไตรมาสที่แล้วเป็น 8,501 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเราคาดว่า SCC จะบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของบริษัท Thai CRT ในไตรมาสนี้และทำให้กำไรสุทธิหลังรายการพิเศษเหลือเพียง 6,001 ล้านบาทหรือลดลง 28.7% จากเวลาเดียวกันของปีก่อนและ 21.4% จากไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ราคาปิโตรเคมีในตลาดโลกและตลาดเอเชียยังอยู่ในระดับสูงสำหรับไตรมาส3/2549 ซึ่งเป็นผลจาก seasonal effect และผลจากการที่วัฏจักรขาลงของธุรกิจได้เลื่อนออกไปเป็นปี 2551 ดังนั้นส่วนต่างระหว่าง PE-Naphtha จะมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 48.5% และส่วนต่างระหว่าง PP-Naphtha จะมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 20% นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เคมีอื่น ๆอย่างเบนซิน และโทลูอีนก็มีการปรับตัวของราคาสูงขึ้นด้วยอีก 8.4% ในไตรมาสนี้ซึ่งจะทำให้ EBITDA margin สำหรับกลุ่มธุรกิจเพิ่มขึ้นเป็น 15.2%จาก 14.3% ในไตรมาสที่แล้ว โดยรวมเราคาดรายได้จากธุรกิจปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้น 46.0% จากปีก่อนเป็น 36,280 ล้านบาท

บทวิเคราะห์ระบุว่า ถึงแม้ว่าสถิติล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่ามีอัตราการบริโภคซีเมนต์ภายในประเทศมากขึ้น 4% ในเดือนสิงหาคม เราคาดว่าปริมาณการขายปูนซีเมนต์ของ SCC จะยังไม่มีการเติบโตในไตรมาสนี้ในขณะที่ราคาขายในประเทศจะยังทรงตัวจากไตรมาสที่แล้วอยู่ที่ 1,775 บาทต่อตัน สำหรับตลาดส่งออกของ SCC สำหรับไตรมาสนี้จะอ่อนตัวลงจากไตรมาสที่แล้วเนื่องจากประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะในทวีปเอเชียมีการนำเข้าซีเมนต์จากไทยน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตในไตรมาสนี้จะต่ำกว่าไตรมาสที่แล้วเนื่องจากต้นทุนพลังงาน ได้แก่น้ำมันดีเซลมีการปรับตัวลดลงจากเดิม 25 บาทต่อลิตรเป็น 28 บาทต่อลิตร และต้นทุนถ่านหินต่ำลงประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันดังนั้น gross margin ของกลุ่มนี้จะดีกว่าไตรมาสที่แล้ว

เราคาดว่าการปริมาณกระดาษที่ SCC ส่งออกได้ในไตรมาสนี้จะลดลงเล็กน้อยจากอุปสงค์ส่วนเพิ่มจากประเทศจีนเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดซึ่งจะทำให้ราคาขายปรับลดลงด้วย อย่างไรก็ตามรายได้รวมของกลุ่มกระดาษจะลดลงเล็กน้อยเพียง 1.9% จากไตรมาสที่แล้วเนื่องจากความต้องการกระดาษในประเทศยังคงแข็งอยู่ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตซึ่งได้แก่เยื่อกระดาษมีการปรับตัวขึ้นซึ่งทำให้ EBITDA margin สำหรับกลุ่มนี้ลดลงเป็น 23.3% จาก 24.6% ในไตรมาสที่แล้วบทวิเคราะห์ระบุ

SCC จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 25 ตุลาคม 2549 ถึงแม้ว่าตลาดจะคาดการไว้แล้วว่า SCC จะบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของกิจการ Thai CRTแต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะบันทึกผลขาดทุนมากกว่าที่ตลาดเคยคาดไว้หรือบันทึกผลขาดทุนทั้งจำนวน 4,500 ล้านบาท ซึ่งถ้าเป็นจริง อาจทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงได้ เราแนะนำให้ใช้จังหวะนี้เข้าซื้อหุ้น SCC เนื่องจากรายการขาดทุนดังกล่าวเป็นเพียงรายการทางบัญชีซึ่งไม่มีผลต่อมูลค่าหุ้น ด้วยแนวโน้มธุรกิจที่ยังแข็งแกร่งอยู่ เราคงคำแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 303 บาทต่อหุ้น

**กิมเอ็งส่งซิกใกล้270บ.
เชิงกลยุทธ์ให้ขายทำกำไร
บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)ระบุว่า บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2549 ในวันพุธที่ 25 ต.ค. นี้ เราคาดหมายว่าจะมีกำไรปกติที่สูงถึง 8,982 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 7.49 บาท) เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน และ 12% จากปีก่อน เนื่องจากได้แรงหนุนจาก สเปรด HDPE - Naphtha และ PP - Naphtha ที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ ในขณะที่ธุรกิจซีเมนต์ และ กระดาษ คาดหมายว่าจะค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสสอง (ไม่รวมผลขาดทุนในธุรกิจหลอดภาพโทรทัศน์สีประมาณ 4,500 ล้านบาท)

แนวโน้มผลประกอบการในปี 2550 คาดหมายว่ากำไรจะสามารถรักษาระดับได้จากปีนี้ โดยธุรกิจปิโตรเคมีคาดหมายว่าจะปรับลดลงไม่มากเนื่องจากข้อจำกัดด้านอุปทานโดยเฉพาะความล่าช้าโรงงานในอิหร่าน ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์คาดหมายว่าจะกระเตื้องขึ้นจากที่ติดลบในปีนี้ ส่วนธุรกิจกระดาษคาดหมายว่าจะโตตามภาวะเศรษฐกิจ

ทั้งนี้SCC มี เงินลงทุนตามบัญชีในบริษัท ไทยซีอาร์ที จำกัด อยู่ประมาณ 4,000 - 5,000 ล้านบาท โดยกำลังพิจารณาบันทึกผลขาดทุนในธุรกิจนี้ประมาณ 4,500 ล้าบาทในระหว่างไตรมาส 3-4 นี้

เราประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 270 บาท ภายใต้เงื่อนไข P/E ปี 2549 ประมาณ 10 เท่า และ คาดหมายว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในระดับ 15 บาทต่อหุ้นในปีนี้ และ ปีหน้า เรายังคงคำแนะนำซื้อลงทุน แต่ราคาหุ้นก็ได้วิ่งขึ้นมารับพอสมควรทำให้เหลืออัพไซด์ไม่มาก ดังนั้น ในแง่กลยุทธ์อาจจะพิจารณาขายทำกำไร ถ้าหากราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาใกล้ราคาเหมาะสมที่ 270 บาทบทวิเคราะห์ระบุ

**3ปีข้างหน้าSCCยังแกร่ง
โกลเบล็กให้ราคาเหมาะสม287บ.
บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ระบุว่า แม้ SCCจะอยู่ในช่วง Low season ของธุรกิจปูน แต่ผลประกอบการในไตรมาสนี้จะได้รับแรงหนุนจากกำไรของธุรกิจปิโตรเคมีที่คาดจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผลจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่พุ่งขึ้นตลอดช่วงไตรมาส 3 ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาขายกับวัตถุดิบปรับตัวดีขึ้นมาก โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์หลัก คาดส่วนต่างระหว่าง HDPE-Naphtha และ PP-Naphtha จะเพิ่มสูงขึ้นจากเฉลี่ย $580 ต่อตันในช่วงไตรมาส 2 เป็น เฉลี่ยมากกว่า $700 ต่อตัน ขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์และกระดาษเรามองว่าจะค่อนข้างทรงตัวใกล้เคียงไตรมาสก่อน โดย เราประเมินกำไรสุทธิได้ 8,637 ลบ.เพิ่มขึ้น 13.2% QoQ และ7.8% YoY

สำหรับแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีคาดราคาปิโตรเคมีจะเริ่มอ่อนตัวลงตามราคาวัตถุดิบหลักอย่างแนฟทา ทำให้อัตรากำไรจะกลับมาอยู่ในระดับปกติ ขณะที่ธุรกิจปูนและกระดาษเรามองว่าไม่มีปัจจัยใหม่ที่จะผลักดันผลประกอบการอย่างชัดเจน ดังนั้นคาดผลการดำเนินงานปกติจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 นอกจากนั้นภายในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทอาจต้องบันทึกสำรองผลขาดทุนจากการปิดกิจการบริษัทไทยซีอาร์ที มูลค่าประมาณ 5 พัน ลบ. ซึ่งแม้จะเป็นเพียงรายการทางบัญชีที่ไม่กระทบกับกระแสเงินสด แต่ก็จะส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง และอาจส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในระยะสั้นได้ โดยเราประเมินกำไรปกติปี49 ได้ที่ 32,953 ลบ.เพิ่มขึ้น 8.4%YoYและกำไรสุทธิที่ 28,332 ลบ. ลดลง 12.1%YoY

โดยในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีคาดอัตรากำไรช่วง 1-2 ปีข้างหน้าจะยังดี ผลจากอุปสงค์ในภูมิภาคโดยเฉพาะจากจีนและอินเดียที่ยังมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง ขณะที่กำลังการผลิตปิโตรเคมีใหม่ๆที่เดิมมีแผนจะเข้าสู่ตลาดช่วง1-2 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่จะเลื่อนออกไป ทำให้อุปทานโดยรวมมีจำกัด ดังนั้นคาดราคาผลิตภัณฑ์สายโอเลฟินส์น่าจะยืนได้ในระดับสูง

สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์เรามองว่าจะกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากแรงหนุนของโครงการลงทุนต่างๆของภาครัฐที่คาดต้องเริ่มดำเนินการหลังการเมืองเริ่มคลี่คลาย นอกจากนั้นบริษัทยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งงบลงทุนไว้สูงถึง 70,000 ลบ.ในช่วงปี 2548-2552 และเน้นไปที่การขยายกำลังการผลิตทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งโครงการต่างๆจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นไป
แม้ผลประกอบการโดยรวมในปีนี้จะไม่ขยายตัวอย่างโดดเด่นนัก แต่หากพิจารณาถึงศักยภาพทางการแข่งขัน ฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงปันผลจ่ายแน่นอนอัตราผลตอบแทนมากกว่า 6% ในช่วง 3ปีข้างหน้า ดังนั้น จึงยังคงคำแนะนำซื้อลงทุน โดยประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี DCFที่ WACC 10.5%ได้ราคาเหมาะสม 287 บาท/หุ้น

efinance.com

[/color:a3462fb702">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com