April 28, 2024   4:44:46 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นวันนี้ค่ะ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 13/10/2006 @ 10:39:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน


บล.บัวหลวงแนะนำถือ LHราคาเป้าหมาย 7.45 บาทเรามองโครงการบ้านราคาพิเศษของ LH ในทางบวก เนื่องจากโครงการนี้น่าจะช่วยลดระยะเวลาการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดไปยังตลาดที่ระดับราคาต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของลูกค้าที่ลดลง ราคาต่อหน่วยที่ลดลงของโครงการใหม่ในครึ่งหลังของปี2549 ได้สะท้อนแผนการตลาด ซึ่งแสดงถึงความเป็นไปได้ที่ยอดขายของโครงการใหม่ จะรวดเร็วขึ้น และส่งผลบวกถึงการเติบโตในระยะกลางและระยะยาวของบริษัท รวมถึงโอกาสที่ส่วนต่างกำไรจะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับปกติและสมเหตุสมผล โดยจะเห็นผลในครึ่งหลังของปี 2550 LH กล่าวว่ายอดจองซื้อในไตรมาส 3/49 จะอ่อนตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับในไตรมาส 2/49 ที่ 4,400 ล้านบาท (ไม่รวมยอดจองซื้อของโครงการคอนโดThe Room ที่อ่อนนุชที่มีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม กำไรขั้นต้นยังคงอยู่ที่ประมาณ 31-32% จากยอดจองซื้อและรอรับรู้รายได้ที่ประมาณ 1,200 ล้านบาท ณสิ้นไตรมาส 2/49 เราคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/49 จะค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่อาจจะปรับตัวลดลงประมาณ 50% จากปีก่อน ผลประกอบการ 9 เดือนแรกควรจะอยู่ที่ 60% ของประมาณการทั้งปีของเรา ถึงแม้ผลประกอบการไตรมาส 4/49 มีแนวโน้มจะดีขึ้นจากโครงการใหม่และโครงการส่วนลดพิเศษในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงมีความเป็นไปได้ที่ผลประกอบการสำหรับปี 2549 จะต่ำกว่าประมาณการของเราบ้าง ถึงแม้ผลประกอบการในระยะสั้นของ LH ยังคงผันผวน แต่เราเชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวในปี 2550โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น 2) อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงสุดซึ่งหมายถึงธนาคารจะผ่อนผันให้แก่สินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น 3)ยังคงมีอุปทานบ้านเดี่ยวลดลงอย่างต่อเนื่อง 4) ยอดจองซื้อและรอรับรู้รายได้ของคอนโดมิเนียมที่ยกมาประมาณ 2,000-3,000ล้านบาทจะรับรู้รายได้ในปี 2550 และ 5) การปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์มายังตลาดระดับราคาต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อ เราคาดว่ายอดจองซื้อใหม่จะฟื้นตัวขึ้น 15% (จาก 18,000 ล้านบาทในปี 2549 มาอยู่ที่ 20,600 ล้านบาทในปี 2550) และกำไรขั้นต้นจะปรับตัวสูงขึ้นจากประมาณ 31.5% ในปี 2549 มาอยู่ที่ 34% ในปี 2550 (ซึ่งเป็นการประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมเมื่อเทียบกับแนวโน้มส่วนต่างกำไรระยะยาวที่ 36.5%)

บล.เคจีไอแนะนำซื้อ SCCราคาเป้าหมาย 303.00 บาทธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีจะเป็นแรงผลักให้รายได้สำหรับ SCC ในไตรมาส 3/2549 เติบโตขึ้น 6.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนและ เติบโต12.5% จากไตรมาสที่แล้วเป็น 8,501ล้านบาท อย่างไรก็ตามเราคาดว่า SCC จะบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของบริษัท ThaiCRT ในไตรมาสนี้และทำให้กำไรสุทธิหลังรายการพิเศษเหลือเพียง 6,001 ล้านบาทหรือลดลง 28.7% จากเวลาเดียวกันของปีก่อนและ 21.4% จากไตรมาสก่อนหน้าราคาปิโตรเคมีในตลาดโลกและตลาดเอเชียยังอยู่ในระดับสูงสำหรับไตรมาส 3/2549 ซึ่งเป็นผลจาก seasonal effect และผลจากการที่วัฏจักรขาลงของธุรกิจได้เลื่อนออกไปเป็นปี 2551 ดังนั้นส่วนต่างระหว่าง PE-Naphtha จะมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 48.5% และส่วนต่างระหว่าง PP-Naphtha จะมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 20% นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เคมีอื่น ๆ อย่างเบนซิน และโทลูอีนก็มีการปรับตัวของราคาสูงขึ้นด้วยอีก 8.4% ในไตรมาสนี้ซึ่งจะทำให้ EBITDA margin สำหรับกลุ่มธุรกิจเพิ่มขึ้นเป็น 15.2% จาก 14.3% ในไตรมาสที่แล้ว โดยรวมเราคาดรายได้จากธุรกิจปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้น 46.0% จากปีก่อนเป็น 36,280 ล้านบาท ถึงแม้ว่าสถิติล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่ามีอัตราการบริโภคซีเมนต์ภายในประเทศมากขึ้น 4% ในเดือนสิงหาคมเราคาดว่าปริมาณการขายปูนซีเมนต์ของ SCC จะยังไม่มีการเติบโตในไตรมาสนี้ในขณะที่ราคาขายในประเทศจะยังทรงตัวจากไตรมาสที่แล้วอยู่ที่ 1,775 บาทต่อตัน สำหรับตลาดส่งออกของ SCC สำหรับไตรมาสนี้จะอ่อนตัวลงจากไตรมาสที่แล้วเนื่องจากประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะในทวีปเอเชียมีการนำเข้าซีเมนต์จากไทยน้อยลง อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตในไตรมาสนี้จะต่ำกว่าไตรมาสที่แล้วเนื่องจากต้นทุนพลังงาน ได้แก่น้ำมันดีเซลมีการปรับตัวลดลงจากเดิม 25 บาทต่อลิตรเป็น 28 บาทต่อลิตร และต้นทุนถ่านหินต่ำลงประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ดังนั้น gross margin ของกลุ่มนี้จะดีกว่าไตรมาสที่แล้ว เราคาดว่าการปริมาณกระดาษที่ SCC ส่งออกได้ในไตรมาสนี้จะลดลงเล็กน้อยจากอุปสงค์ส่วนเพิ่มจากประเทศจีนเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดซึ่งจะทำให้ราคาขายปรับลดลงด้วย อย่างไรก็ตามรายได้รวมของกลุ่มกระดาษจะลดลงเล็กน้อยเพียง 1.9% จากไตรมาสที่แล้วเนื่องจากความต้องการกระดาษในประเทศยังคงแข็งอยู่ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตซึ่งได้แก่เยื่อกระดาษมีการปรับตัวขึ้นซึ่งทำให้ EBITDA margin สำหรับกลุ่มนี้ลดลงเป็น 23.3% จาก 24.6% ในไตรมาสที่แล้ว

บล.ซิกโก้แนะนำซื้อ STANLYราคาเป้าหมาย 175.00 บาทSSEC คาดการณ์รายได้ใน 2Q06/07E ที่ 2,104 ลบ. เติบโตเพียง 4.0% YoY หรือ4.0%QoQเนื่องจากเราคาดว่ายอดขายในส่วนของ Lamps และ Bulbs จะทรงตัวจากไตรมาสก่อนตามภาวะการชะลอตัวของภาวะอุตสาหกรรม ประกอบกับมีการผลิตโมเดลใหม่เพียง 2โมเดลคือ Isuzu D-Max และ Yamaha Finoอย่างไรก็ดีคาดว่าในไตรมาสนี้จะมีการรับรู้รายได้จากการขาย Mold เข้ามาประมาณ 100 ลบ. เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 12-13ลบ. ในขณะที่ คาดว่า Gross Margin จะปรับตัวดี ขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ ที่ระดั บ 22.3% (+4%YoY หรือ +0.1% QoQ) จากปัจจัยบวกด้านต้นทุนวัตถุดิบที่มากกว่า 80%เป็นเม็ดพลาสติกและ Defect Rate ที่คาดว่าจะลดลงเล็กน้อยเนื่องจากไม่ค่อยมีการผลิตโมเดลใหม่ ส่งผลให้คาดว่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาสนี้เท่ากับ331 ลบ. เพิ่มขึ้น 35.2% YoY หรือ 2.8% QoQจากการสอบถามถึงความคืบหน้าในการขยายโรงงาน ขณะนี้ โรงงานส่วนหนึ่งก่อสร้างเสร็จไปกว่า 60% และคาดว่าจะมีการนำเข้าเครื่องจักรและดำเนินการผลิตได้ในช่วง 4Q06/07E ส่วนโรงงานอีกส่วนหนึ่งก่อสร้างไปแล้วกว่า 10% และคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตได้ใน FY08/09E ทั้งนี้เรามองว่าค่าเสื่อมที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานแห่งใหม่ นั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีค่าเสื่อมจากโรงงานประมาณ15 ลบ./ปี เท่านั้นที่เพิ่มขึ้นทันที ในขณะที่เครื่องจักรและแม่พิมพ์ต่างๆจะเป็นการทยอยติดตั้งตามออเดอร์ ซึ่งเครื่องจักรและแม่พิมพ์ ดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ชดเชยกับค่าเสื่อมที่จะเกิดขึ้นได้ในทันที

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ JTSราคาเป้าหมาย 4.15 บาทเราคาดว่ารายได้ของ JTS จะขยายตัว 75% จากไตรมาสก่อนหน้า (qoq) เป็น 762ล้านบาทในไตรมาส 3/49 เนื่องจากเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการโครงข่ายบรอดแบนด์มูลค่า 1.6 พันล้านบาทของ TT&T ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่โดย JAS เช่นกัน นอกจากนี้มีบางโครงการเลื่อนมาจากไตรมาสก่อนหน้าด้วย ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรไตรมาส 3/49ของ JTS จะขยายตัว 63% qoqเป็น 77 ล้านบาทแม้ประมาณการกำไรปกติ 3 ไตรมาสแรกที่ 204 ล้านบาทของเราจะเทียบเท่า 70% ของการคาดการณ์ทั้งปี เราคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ที่ 293 ล้านบาทหรือ 0.42 บาท/หุ้น โดยบริษัมมีงานคงค้างเป็นมูลค่าถึง 1.8พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 3/49 จากการประชุมกับผู้บริหารของ JTS เมื่อวานนี้ คาดว่าจะมีหลางโครงการใหม่ให้เข้าประมูลช่วงปลายปีนี้ โดยเฉพาะจาก CAT และ TOT เนื่องจากเป็นช่วงสุดท้ายในการใช้ส่วนที่เหลือของงบประมาณปีนี้ หลังจากที่หลายโครงการล่าช้าจากครึ่งปีแรก จึงถือเป็นโอกาสในการเข้าประมูลของ JTS นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจางานต่อเนื่องจากหลายโครงการเดิมด้วยซึ่งน่าจะสรุปภายในปลายปีนี้เช่นกัน ด้วยแนวโน้มการขยายโครงข่ายบรอดแบนด์อย่างต่อเนื่องของ TT&T และโครงการที่มีอย่างต่อเนื่องของ CATและ TOT รวมถึงการที่ JTS เริ่มได้รับสิทธิทางภาษีจาก IPO ในปีหน้า เราคาดว่ากำไรปกติของบริษัทจะขยายตัว 11% เป็น 325 ล้านบาทหรือ 0.46 บาท/หุ้นในปีหน้า








[/size:a0e1e8a874">[/color:a0e1e8a874">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com