April 28, 2024   5:22:15 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 16/10/2006 @ 10:14:44
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

สัญญาณหุ้น
Source - ข่าวหุ้น

บล.เคจีไอแนะนำซื้อAHราคาเป้าหมาย 22.00 บาทเราคาดว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/49 ของบริษัท อาปิโก ไฮเทค จะอยู่ที่ 118 ล้านบาท แม้จะลดลง -35% จากปีก่อน แต่ปรับตัวดีขึ้น +37% จากไตรมาส ก่อนหน้า และคาดว่าจะออกมาเป็นไปตามที่ตลาดคาด แม้ว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จะยังคงปรับตัวลดลง แต่ทั้งนี้เนื่องจาก เมื่อปีที่แล้วมีผลของการปรับลดราคาขายให้กับลูกค้ารายสำคัญ คือ อิซูซุ ประมาณ 30% (ตามสัญญาเดิมที่ติดมากับการซื้อ บริษัทฯ ดีน่า) แต่เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสเราคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจาก 1) ยอดขายคาดว่าจะโต +22% จากไตรมาสก่อน จากไม่มีการปิดโรงงานของอิซูซุประมาณ 10 วันเหมือนไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ อิซูซุดีแม็กซ์ ที่มีการปรับโฉมใหม่ในเดือนส.ค. 49 ได้รับความนิยมมาก ทำให้ยอดขายของอิซูซุดีแม็กซ์ในเดือนส.ค. 49 เติบโต +36% จากเดือนก่อน ประกอบกับ ได้รับคำสั่งซื้อใหม่ๆที่จะเริ่มทยอยเข้ามาในไตรมาสนี้ แม้จะยังไม่มาก แต่ก็สนับสนุนยอดขายของไตรมาส 3/49ให้ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน 2) อัตรากำไรขั้นต้น คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/49 มาอยู่ที่ 7.9% เทียบกับ 7.3% และ 9.9% จากไตรมาส 2/49 และ ไตรมาส 3/48ตามลำดับ การให้ส่วนลดกับอิซูซุอย่างที่กล่าวข้างต้น เป็นสาเหตุของการปรับลดลงจากปีก่อนในขณะที่ คำสั่งซื้อใหม่ๆ ที่เริ่มทยอยเข้า (มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า) และการประหยัดต่อขนาด จะช่วยเสริมให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย มีความเป็นไปได้ที่ อาปิโกฯจะได้คำสั่งซื้อใหม่เข้ามาในปีหน้า ซึ่งเป็นการผลิตชิ้นส่วน OEM ให้กับลูกค้ารถยนต์รายหนึ่งในโรงงานที่เมืองจีน และคำสั่งซื้ออุปกรณ์จับยึด (มูลค่า 1.8 ล้านยูโร หรือประมาณ 85ล้านบาท) ซึ่งแม้ว่าทั้ง 2 ส่วนนี้จะไม่ได้มีมูลค่ามากนัก แต่เรามองว่าเป็นสัญญาณที่ดีของการปรับตัวที่ดีขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ

บล.ซิกโก้แนะนำซื้อ ITราคาเป้าหมาย 9.42 บาทSSEC คาด การณ์รายได้ของบริษัทใน 3Q06E เท่ากับ 1,457 ลบ. แม้จะเติบโต 14.4%YoY แต่เมื่อเทียบกับการเติบโตของครึ่งปีแรกที่ 17.0% YoYแล้ว จะเห็นได้ว่ามีการชะลอตัวลง ปัจจัยหลักเป็นผลจากการใช้จ่ายด้านIT ลดลงของทางส่วนภาครัฐ ขณะเดียวกันในส่วนของ Retail ก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องการเมืองพอสมควร นอกจากนี้ยอดขายในช่วงเดือน ก.ย.ต้องหายไป 2 วันในช่วงที่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น ทำให้รายได้เติบโตไม่โดดเด่นนักแม้ว่าจะเป็น High-Season ของบริษัทก็ตาม ในส่วนของค่าใช้จ่ายบริษัทยังสามารถควบคุมต้นทุนขายได้ดีเราจึงคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับ GPM ไว้ที่ 12.4%เท่ากับ 2Q06A ระดับ G&A /Sales ที่เพิ่มขึ้นทำให้กำไรสุทธิเติบโตเพียงแค่ 8.3% แม้ยอดขายจะเติบโต 14.4% ด้วยเหตุผล 2 ประการ 1) ค่าใช้จ่ายด้านพนักงานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเปิด Mega Store และ 2) จากการที่ใน FY03Aบริษัทเปิดสาขาเพิ่มขึ้นถึง 8สาขา และด้วยข้อกำหนดในสัญญาเช่าที่จะมีการปรับค่าเช่าขึ้นในทุกๆ 3 ปี ทำให้ค่าใช้จ่ายเรื่องของค่าเช่าทั้ง 8 สาขา ต้องปรับเพิ่มตามสัญญา ดังนั้น SG&A/Sales จึงเพิ่มขึ้นจาก7.7% ใน 3Q05A เป็น 8.0% ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิเหลือเพียงแค่3.8% จาก 4.0% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วจากสมมติฐานเดิมที่เราคาดว่า Mega Store จะสามารถเปิดได้ภายในปีนี้ 1 สาขานั้นหลังจากที่เราเข้าพบกับผู้บริหาร เราคาดว่าแนวโน้มที่จะต้องเปิดภายในปีหน้ามีความเป็นไปได้สูงอย่างช้าที่สุดน่าจะสามารถเปิดได้ราวต้นเดือนม.ค. 07 แต่สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบFY06E ที่เราคาดไว้มากนัก อย่างไรก็ดีสำหรับการคาดการณ์ผลประกอบการ FY07E และปีต่อไป เราเชื่อว่าแผนการขยายสาขาจะมีการปรับเปลี่ยนพอสมควร โดยสาขาแรกเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะมีพื้นที่ประมาณ10,000 ตร.ม. มากกว่า 8,000 ตร.ม. ที่เราคาดไว้ แต่จำนวนสาขาที่จะเปิดในปีนี้เราเชื่อว่าบริษัทคงต้องรอดูผลงานของสาขาแรกก่อน ดังนั้นเราจึงปรับสมมติฐานจาก 3 สาขา ณ สิ้นปี 2007เหลือ 2 สาขา ส่งผลให้เราปรับรายได้รวม FY07E ลดลงจาก 7,118 ลบ. เหลือ 6,650ลบ.ขณะที่ GPM เราก็ปรับเช่นกัน เพราะคาดว่าสัดส่วนเดิมของสินค้า IT กับConsumerElectronic ที่ 85:15 จะปรับเหลือ 90:10 ทำให้ GPM เฉลี่ยใน F07E ลดลงจาก 12.9% เหลือ 12.8% และทำให้กำไรสุทธิลดลงจาก269 ลบ. เหลือ 252 ลบ. ซึ่งการปรับประมาณการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในปีถัดๆไปให้ลดลงมาเช่นกัน

บล.เอเชียพลัสแนะนำขาย SHINราคาเป้าหมาย 34.85 บาทเนื่องจากปัจจุบันยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า SHIN ยังคงเป็นนิติบุคคลไทยหรือไม่ หากถือว่าบจ.กุหลาบแก้ว (ถือหุ้นทางอ้อมใน SHIN ผ่าน บจ.ซีดาร์ โฮลดิ้ง) เป็นต่างชาติ จะทำให้SHIN มีผู้ถือหุ้นต่างชาติทั้งหมด 96% ซึ่งจะเกินที่กฏหมายกำหนด แต่ล่าสุดมีข่าวว่ากลุ่มเทมาเส็ก ของสิงคโปร์ (ถือหุ้น 49% ใน บจ.ซีดาร์ โฮลดิ้ง) สนใจจะลดสัดส่วนการถือหุ้นSHIN ลง เพื่อยุติปัญหาดังกล่าว (กรุงเทพธุรกิจ 13 ต.ค 2549)หากเทมาเส็กลดสัดส่วนการลงทุนลง จนทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติของ SHIN ไม่เกิน 49%ที่กฏหมายกำหนด จะส่งผลดีต่อ SHIN และบริษัทในเครือ ดังนี้-SHIN จะยังมีสถานะเป็นนิติบุคคลไทย และสามารถคงสัดส่วนการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้อง คือ ADVANC, ITV และSATTEL ได้ตามเดิม -ADVANC ไม่ต้องปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ และสามารถดำเนินธุรกิจภายใต้สัมปทานเดิมได้ต่อไป นอกจากนี้คาดว่าจะทำให้สามารถยื่นขอใบอนุญาตใหม่ (3G) ทันทีเมื่อ กทช. เปิดให้ยื่นขอได้ ซึ่งหากรวมธุรกิจ 3G จะทำให้ Fair value ของADVANC เพิ่มขึ้นอีก 13.66 บาท เป็น 109.52 บาท-ITV ไม่ต้องปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ แต่ความเสี่ยงของ ITV ยังอยู่ที่กรณีฟ้องร้องการคิดค่าสัมปทาน ซึ่งต้องรอผลการตัดสินจากศาลปกครองสูงสุดที่จะตัดสินให้ ITV จ่ายค่าสัมปทานที่ระบุในสัญญาสัมปทานเป็นจำนวน1 พันล้านบาท/ปี ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลาง หรือให้จ่าย 230 ล้านบาท/ปี ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ -SATTEL ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นต่างชาติอยู่เพียง 4.55% ไม่ว่า SHIN จะเป็นต่างชาติหรือไม่ ก็จะมีผู้ถือหุ้นต่างชาติไม่เกินเกณฑ์ 49% ที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว

บล.กิมเอ็งแนะนำกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นบวก/เป็นบวกผลประกอบการกำไรสุทธิไตรมาส 3/49 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (ที่เราทำการศึกษา 7 ธนาคาร) คาดว่าจะออกมาเท่ากับ 19,268 ล้านบาท ลดลง 17.2% yoy เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/48 และลดลง 1.5% qoq เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/49 ที่ผ่านมา สาเหตุหลักจากการค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้ในส่วนของ TAMC ที่หลายธนาคารมีการบันทึกในไตรมาสนี้รวมถึงคาดว่าเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ฯ ที่จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน เราคาดว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิรวม (Net interest income) ของทั้ง 7 ธนาคารที่ทำการศึกษายังคงเพิ่ม 40.3% yoy และเพิ่มขึ้น 4.4%qoq สาเหตุหลักเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และปริมาณสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะการแข่งขันและดอกเบี้ยเงินฝากที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรก ทำให้รายได้อกเบี้ยสุทธิเติบโตในเกณฑ์ที่ต่ำกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบรายกับไตรมาสที่ผ่านมาเราเชื่อว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ของกลุ่มธนาคารโดยส่วนใหญ่ในไตรมาส 3/49 จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/49 จากต้นทุนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ปรับตัวสูงขึ้น ยกเว้น SCIBที่คาดว่าจะมี NIM ดีขึ้นสวนทางกับกลุ่มฯ จากฐานสินเชื่อที่ลดลงจากการชำระคืนตัว AMCnotes และรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่า KBANK และ BAY จะมี NIM เพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 35bps และ 37 bps ตามลำดับ

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com