April 27, 2024   3:14:03 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ฟันธงQ3 กำไรกลุ่มหลักทรัพย์หดแต่Q4/49 ฟื้นแน่ได้เงินต่างชาติ
 

samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
วันที่: 17/10/2006 @ 00:07:53
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

วงการ ประสานเสียง กำไรQ3/49 กลุ่มหลักทรัพย์ทรุดแน่ หลังวอลุ่มการซื้อขายหด รายได้ค่าธรรมเนียมหดจากไอพีโอที่ลดลง AYS ระบุ ลดลง 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 36% เมื่อเทียบกับQ2/49 แต่ยังหวังQ4/49 จะดีขึ้นหลังได้เงินทุนเคลื่อนย้ายจากตลาดเงินสู่ตลาดทุน การจัดตั้งรัฐบาลที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้นลท. และการไหลเข้าของเม็ดเงินจากกองทุน RMF - LTF ในช่วงปลายปี แต่ให้น้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด ขณะที่ SCIBS ชี้ ASP- BLS- KEST - PHATRA 4 แห่งกำไรหด 37% แต่ยังมั่นใจพื้นฐาน PHRTRA-BLS สามารถซื้อลงทุนได้


ในช่วงประกาศตัวเลขผลประกอบการไตรมาสที่ 3 และงวด 9 เดือนปี 2549 ของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ซึ่งภายในสัปดาห์นี้เป็นต้นไป หลายบริษัทคงจะทยอยประกาศออกมาว่าตัวเลขจะเป็นไปตามคาดการณ์ เหนือกว่าคาดการณ์ หรือว่าต่ำกว่าคาดการณ์หรือไม่ เชื่อว่าผลประกอบการกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เป็นอีก 1 กลุ่มที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นมา นับตั้งแต่มูลค่าการซื้อขายในตลาดฯ เริ่มเบาบางลง หลังจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดฯ ต้องประสบกับสารพัดปัจจัยลบที่คอยตามกระหน่ำซ้ำเติมอย่างต่อเนื่อง

ทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ อย่างปัจจัยต่างประเทศนั้น ปัญหาราคาน้ำมันแพง เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัวลง การก่อการร้าย รวมไปถึงภัยธรรมชาติที่คาดไม่ถึง ในขณะที่ภายในประเทศนั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยการเมืองเป็นเรื่องหลักที่ทำให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดฯ ไม่ดีอย่างที่คาดหมายไว้ นักลงทุนต่างประเทศต่างชะลอการลงทุนเพื่อดูความชัดเจน แม้จะมีบางช่วงที่ตลาดฯดูเหมือนจะดีขึ้น หรือฟื้นตัวได้ แต่ก็เพียงระยะสั้นจากนั้นก็ปรับตัวลดลงอีก ทำให้ผลประกอบการ รายได้ที่เชื่อว่าจะได้เป็นกอบเป็นกำหากภาวะการซื้อขายในตลาดฯสดใส ก็ไม่สามารถทำได้ตามเป้า

ขณะที่ในช่วงปีนี้ แทบจะเรียกได้ว่ามนต์เสน่ห์ของสินค้าในตลาดฯ ซึ่งก็คือหุ้นไอพีโอนั้น แทบจะไม่มีหรือแม่จะมีแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเท่าที่ควร เพราะส่วนวหญ่เป็นเพียงหุ้นขนาดเล็ก โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายในปีนี้มีเพียงหุ้น บมจ. รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) เท่านั้น แต่ก็กลับไม่ประสบความสำเร้๗มากนัก ดังนั้นเมื่อภาวะตลาดฯไม่ดี รายได้จากการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือรายได้จากค่านายหน้าไม่น่าประทับใจ ผสมกับรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ไม่เข้าเป้าเท่าที่ควรจึงทำให้ในไตรมาสที่ 3 นี้ บรรดานักวิเคราะห์หลายค่าย หลายสำนัก จึงคาดว่าผลประกอบการของกลุ่มหลักทรัพย์จะออกมาไม่ดี และน่าจะลดลงจากในไตรมาสที่ 2 และจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และก็เชื่อว่าคงจะไม่ผิดไปจากคาดมากเท่าไหร่นักด้วย อยู่ที่ว่าตัวเลขจะกำไรจะลดลงมากหรือน้อยเท่านั้นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม หลังเหตุการณ์ปฏิรูปการปกครองเมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา ที่ในช่วงแรกแม้อาจจะทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อการลงทุนในตลาดฯ นั้น แต่หลังจากที่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จเรียบร้อย พร้อมกับการนำบุคคลผู้มีความรู้ ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศ และดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในช่วง 1 ปี ก่อนจะมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าภาวะการซื้อขายฯเริ่มที่จะดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะอย่างน้อยปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศน่าจะลดลง และนักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นในทิศทางการเมืองมากขึ้น แม้ว่าในช่วง 1 ขวบปีจากนี้รัฐบาลจะยังไม่ใช่รัฐบาลที่แท้จริง เป็นเพียงรัฐบาลเฉพาะกิจก็ตาม แต่ก็ถือว่าหากนับจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี ตลาดฯ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็มีแนวโน้มว่าธุรกิจหลักทรัพย์อาจจะกลับมาสดใสอีกครั้งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี และน่าจะดึงให้ผลประกอบการทั้งปี 2549 ของกลุ่มหลักทรัพย์ดีตามได้


* AYS ฟันธง 3Q49 ผลการดำเนินงานหลักทรัพย์ไม่น่าประทับใจ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.กรุงศรีอยุธยา หรือ AYS เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงาน 3Q49 ของกลุ่มหลักทรัพย์ ยังคงไม่น่าประทับใจเช่นเคย ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดฯลดลง16% QoQ เหลือ 1.3 หมื่นล้านบาท ในไตรมาส 3/49 จาก 1.5 หมื่นล้านบาทในไตรมาสก่อน โดยมูลค่าซื้อขายตั้งแต่ต้นปี (YTD) อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งหมายความว่ามูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 4Q49 จะต้องไม่ต่ำกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท จึงจะทำให้เฉลี่ยทั้งปี 49 อยู่ภายใต้สมมติฐานของ AYS ที่ระดับ 1.7 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้แนวโน้มการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม AYS คาดว่ากำไรสุทธิรวมใน 3Q49 ของกลุ่มหลักทรัพย์ใน Coverage จะลดลง 36% QoQ เรายังคงสมมติฐานมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปี 49 ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท (YTD 1.6 หมื่นล้านบาท)โดยคาดหวังว่ามูลค่าซื้อขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นจาก

1) กระแสการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินทุนจากตลาดเงินสู่ตลาดทุน 2) การจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวชุดใหม่ขึ้นซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน 3) การไหลเข้าของเม็ดเงินจากกองทุน RMF และ LTF ในช่วงปลายปีอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม AYS อาจปรับลดสมมติฐานปริมาณซื้อขายในปี49 หากภาวการณ์ลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี49 มีแนวโน้มไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ จึงยังคงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน ?น้อยกว่าตลาด? โดยจะเน้นเลือกลงทุน ?Selective Buy? เช่น BLS, PHATRA และเก็งกำไรช่วงสั้นๆ ?Trading? เช่น KGI ในช่วงมูลค่าซื้อขายกลับมาหนาแน่นขึ้น



*กำไรQ3/49 ทั้งกลุ่มหด 36% QoQ - 27% YoY
ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิรวมใน 3Q49ของกลุ่มหลักทรัพย์มีแนวโน้มลดลงทั้ง 36% QoQ และ 27% YoY ประมาณการกำไรสุทธิรวมใน 3Q49 ของกลุ่มหลักทรัพย์ใน AYS Coverage ทั้ง 11 แห่งลดลง 36% QoQ เป็น 378 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 3Q49 ที่ลดลง 16% QoQ ทำให้รายได้ค่านายหน้าซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน AYS คาดว่าบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะแสดงกำไรสุทธิใน 3Q49 ที่ลดลงจากไตรมาสก่อน มีเพียง KEST ในฐานะที่ปรึกษาและแกนนำผู้รับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น BMCL ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมจากดีลนี้ราว 30 ล้านบาท เป็นปัจจัยหนุนให้กำไรสุทธิใน 3Q49 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 7% QoQ เป็น 106 ล้านบาท ตามมาด้วย KGI และ ASP ที่แนวโน้มกำไรสุทธิใน 3Q49 จะทรงตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นราว 0.57% และ 0.05% QoQ ตามลำดับ ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการของ PHATRA ปรับลดลงมากที่ในกลุ่มที่ 71% QoQ เนื่องจากไม่มีรายได้จากธุรกิจวาณิชธุรกิจมาช่วยเสริมในไตรมาสนี้ หากเทียบกับใน 2Q49 ที่รับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมจากการนำหุ้น RRC และ ThaiBev เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ

แต่หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนคาดว่ากำไรสุทธิรวมใน 3Q49 ของกลุ่มหลักทรัพย์จะลดลง 27% YoY เช่นกัน เนื่องจากแนวโน้มการลดลงของทั้งรายได้ค่านายหน้ารวมของกลุ่มหลักทรัพย์ 25% YoY เนื่องจากปริมาณการซื้อขายของตลาดฯที่กลับมาซบเซาลง 21% YoY รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมรวมของกลุ่มหลักทรัพย์มีแนวโน้มลดลง 3% YoY เช่นกัน


* ระบุ ส่วนแบ่งการตลาด KGI 3Q49 เพิ่มสูงสุด ตามด้วย US-SSEC
บริษัทหลักทรัพย์ใน AYS Coverage ที่แสดงการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งการตลาดในงวด 3Q49 สูงที่สุด ได้แก่ KGI เพิ่มขึ้น 0.57% ตามมาด้วย US และ SSEC เพิ่มขึ้น 0.16% และ 0.15% QoQ ตามลำดับ ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดใน 3Q49 ของ PHATRA ปรับลดลงมากสุดในกลุ่ม 0.53% QoQ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติที่เป็นฐานลูกค้าหลักของ PHATRA ชะลอการลงทุนออกไป

อย่างไรก็ตามเราไม่กังวลต่อการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดลงไนไตรมาสนี้มากนัก เพราะคาดว่าจากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีทิศทางชัดเจนมากขึ้น จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งหนึ่งได้

นอกจากนี้ส่วนแบ่งการตลาดของ PHATRA เฉลี่ย YTD อยู่ที่ 5.87% ยังคงอยู่ในประมาณการส่วนแบ่งการตลาดปี 49 ของ AYS ที่ระดับ 5.7% เพิ่มขึ้น 0.7% YoY สำหรับ KEST แม้สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งไว้ได้อยู่

แต่ส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงต่อเนื่องโดยเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 8.75% เทียบกับ 10.20% ในปี 48 ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก ขณะที่ BLS จากความร่วมมือกับ Morgan Stanley ทำให้สัดส่วนลูกค้าสถาบัน ณ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปี 48 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 15% ทำให้สามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้ดีต่อเนื่องที่ระดับ 3.53% ใน 3Q49 ส่วน YTD อยู่ที่ 3.42% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 3.29% ในปี 48


* รายได้ค่านายหน้ารวมใน 3Q49 ลดลง 60% QoQ
รายได้ค่านายหน้ารวมใน 3Q49 ของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ใน AYS Coverage มีแนวโน้มลดลง 6% QoQ เนื่องจากปริมาณการซื้อขายของตลาดฯที่เบาบางลงเหลือ 1.3 หมื่นล้านบาท จาก 1.5 หมื่นล้านบาทในไตรมาสก่อน มีเพียง KGI ที่จะแสดงการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้าสูงสุดในกลุ่มที่ 17% QoQ จากความสามารถในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ราว 0.57% QoQ เป็น 4.01% ตามมาด้วย USเพิ่มขึ้น 10% QoQ จากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น 0.16% QoQ เป็น 1.07%

รายได้ค่าธรรมเนียมรวมของกลุ่มหลักทรัพย์ใน 3Q49 มีแนวโน้มลดลง 60% QoQ เนื่องจากในไตรมาสนี้มีหุ้น IPO ขนาดใหญ่เพียง BMCL มูลค่าระดมทุนอยู่ที่ราว 3.5 พันล้านบาทเข้ามาซื้อขายในช่วงเดือน ก.ย. นอกนั้นเป็นหุ้นขนาดเล็กอย่าง JTS, FORTH, RICH, DSGT และ AKR เทียบกับใน 2Q49 ที่มีหุ้น IPO ขนาดใหญ่อย่าง RRC ที่มูลค่าระดมทุนสูงกว่า 3.2 หมื่นล้านบาทเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ โดย AYS คาดว่า KEST จะแสดงการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมใน 3Q49 โดดเด่นที่สุดในกลุ่มเป็น 30 ล้านบาท จาก 3 ล้านบาทในไตรมาสก่อน จากการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมจากดีล BMCL


* คาดค่าใช้จ่ายดำเนินงานรวมของกลุ่มหลักทรัพย์ลดลง 8% QoQ
ค่าใช้จ่ายดำเนินงานรวมของกลุ่มหลักทรัพย์ใน AYS Coverage มีแนวโน้มลดลง 8% QoQ ส่วนใหญ่มาจากการลดลงของค่าใช้จ่ายพนักงานซึ่งแปรผันตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงโดยเฉพาะ PHATRA ซึ่งคาดว่าจะมีการลดลงของค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่จากการลดลงของค่าใช้จ่ายพนักงาน 46% QoQ เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายเจ้าหน้าที่การตลาดที่แปรผันตามมูลค่าซื้อขายผ่านบริษัทที่ปรับลดลง 15% QoQ ประกอบกับในไตรมาสก่อนมีการบันทึกค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานในส่วนของงานวาณิชยธนกิจจากดีล RRC


* ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์น้อยกว่าตลาด
หุ้นเด่นในกลุ่มคือ PHATRA และ BLS จากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในเดือน ต.ค. 49 อยู่ที่เพียง 1.1 หมื่นล้านบาท ทำให้ AYS อาจปรับลดสมมติฐานปริมาณซื้อขายในปี 49 ลง หากภาวการณ์ลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 49 มีแนวโน้มไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ AYS จึงยังคงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน ?น้อยกว่าตลาด? แต่สามารถใช้กลยุทธ์ Selective Buy

สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ โดยสามารถเลือก Trading ในช่วงที่มูลค่าซื้อขายกลับมาหนาแน่นขึ้น


* แนะนำซื้อ PHATRA มูลค่าพื้นฐานที่ 56 บ.
สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มยังคงเป็น หุ้นพื้นฐานดี อย่าง PHATRA แนะนำ ?ซื้อ? มูลค่าพื้นฐานที่ 56 บาท (อิงกับ P/E ที่ 19 เท่า) ภายใต้ความผันผวนของมูลค่าการซื้อขายในตลาดฯปัจจุบัน และแนวโน้มการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในอนาคต ดังนั้น AYS มองว่าบริษัทหลักทรัพย์ที่มีโครงสร้างรายได้ที่กระจายตัว และมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า ซึ่งโครงสร้างรายได้ของ PHATRAมีการกระจายตัวค่อนข้างดี โดยมีสัดส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมเฉลี่ยปี 48 อยู่ในระดับสูงที่ 16% ของรายได้รวม (หากเทียบกับกลุ่มที่มีสัดส่วนเพียง 7%) ประกอบกับโครงสร้างต้นทุนปี48 ของ PHATRA อยู่ในระดับต่ำที่ 0.15% ของมูลค่าการซื้อขายรวมผ่านบริษัท (หากเทียบกับกลุ่มซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่0.20%)


* BLS เติบโตสูง-ราคาไม่แพง
หุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่ราคาหุ้นไม่แพง อย่าง BLS จากการเป็นโบรกเกอร์ในเครือของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่าง BBL ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าทั้งในธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจวาณิชธนกิจ อีกทั้งความร่วมมือกับ Morgan Stanley ช่วยให้สัดส่วนลูกค้าสถาบันและต่างชาติสูงขึ้น ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของ BLS ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ราคาหุ้น BLS ซื้อขายในระดับที่ไม่สูงนักที่ระดับเพียง 15 เท่าของกำไรต่อหุ้นปี 49 หากเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มซึ่งซื้อขายที่ระดับ 19 เท่า จึงยังคงแนะนำ ?ซื้อ? แม้จะมีส่วนต่างกำไรจากมูลค่าพื้นฐานที่ 13.50 บาท (อิงกับ P/E ที่ 15 เท่า)
เพียง 5% แต่สามารถคาดหวังการจ่ายเงินปันผลปี 49 ได้ที่ 0.60 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ 4.7%

* SCIBS ระบุ 4 บล.ASP- BLS- KEST - PHATRA กำไรหด 37%
ด้านบทวิเคราะห์จาก บล.นครหลวงไทย หรือ SCIBS คาดบริษัทหลักทรัพย์เฉพาะที่ SCIBS ทำการศึกษาทั้ง 4 แห่ง คือ ASP, BLS, KEST และ PHATRA จะมีกำไรสุทธิลดลง 37%yoy สาเหตุหลักมาจากภาวะตลาดที่ซบเซาใน Q3/49 ส่งผลให้ มูลค่าการซื้อขายลดลงจาก 16,223 ล้านบาทต่อวัน ใน Q3/48 มาอยู่ที่ 13,037 ล้านบาทต่อวัน ใน Q3/49 หรือลดลง 20%yoy ประกอบกับบริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่อย่าง KEST และ ASP สูญเสีย ส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างมากใน Q3/49 เมื่อเทียบกับ Q3/48 ทำให้รายได้ค่านายหน้าซื้อขาย หลักทรัพย์ของกลุ่มลดลงจาก 1,266 ล้านบาทใน Q3/48 มาอยู่ที่ 942 ล้านบาทใน Q3/49 หรือลดลง 26%yoy

หากเปรียบเทียบกับ Q2/49 พบว่ากำไรสุทธิลดลง 44%qoq สาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมลดลง 75%qoq เนื่องจากใน Q2/49 มีรายได้ค่าธรรมเนียมกว่า 300 ล้านบาท จากการนำบริษัท RRC และ ThaiBev เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในขณะที่ Q3/49 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ 7 บริษัท มูลค่าระดมทุนรวม 5,302 ล้านบาท ลดลง 79%qoq โดย BMCL มีมูลค่าระดมทุนสูงสุดที่ 3,611 ล้านบาท ส่งผลให้ KEST ได้รับค่าธรรมเนียมประมาณ 30 ล้านบาท



*ASP-KEST ลดลงมากสุด 46% และ 4%
ASP และ KEST มีกำไรสุทธิลดลงสูงสุดที่ 46%yoy และ 40%yoy : สาเหตุหลักมาจากการลดลง ของส่วนแบ่งตลาด โดย ASP มีส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 6.63% ใน Q3/48 มาอยู่ที่ 6.21% ใน Q3/49

ในขณะที่ KEST มีส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 10.06% ใน Q3/48 มาอยู่ที่ 8.24% ใน Q3/49 อีกทั้ง ASP ยังมีค่าธรรมเนียมจ่ายที่เพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าเมื่อเทียบกับ Q3/48 จากสัญญาว่าจ้างบริษัท ต่างประเทศเพื่อให้บริการเกี่ยวกับการแนะนำการลงทุนในประเทศไทยให้กับนักลงทุนต่างชาติ

หากเปรียบเทียบกับ Q2/49 พบว่า PHATRA มีกำไรสุทธิลดลงสูงสุดที่ 71%qoq : เนื่องจากใน Q2/49 มีรายได้กว่า 300 ล้านบาทจากการนำบริษัท RRC และ ThaiBev เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในขณะที่ Q3/49 ไม่มีงาน IPO เลย มีเพียงแต่งานการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินทั่วไป ส่งผลให้ PHATRA มีรายได้ค่าธรรมเนียมลดลงสูงถึง 97%qoq



* แนะซื้อลงทุน PHATRA-BLS
ทางปัจจัยพื้นฐานแนะนำซื้อลงทุนใน PHATRA และ BLS : เนื่องจากมีแนวโน้มส่วนแบ่งตลาดที่ เติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับโอกาสที่ดีในสายงานวาณิชธนกิจ โดย PHATRA มีฐานลูกค้าที่ดีจากการเป็นผู้ให้บริการแก่ลูกค้าที่เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่มาโดยตลอดอาทิเช่น กลุ่มปตท. ฯลฯ ส่วน BLS ได้รับการสนับสนุนจาก BBL ช่วยเพิ่มฐานลูกค้าในสายงายวาณิชธนกิจ นอกจากนี้ PHATRA ยัง มีโครงสร้างรายได้ที่ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์



* ASP-KEST เหมาะเก็งกำไรระยะสั้น
ASP และ KEST มีโอกาสเก็งกำไรระยะสั้น จากแนวโน้มมูลค่าการซื้อขายในตลาดที่เพิ่มขึ้น จากค่าทางสถิตินับจากปี 2546 ถึงปัจจุบัน พบว่า Correlation Coefficient ระหว่างมูลค่าการซื้อขายในตลาดฯ และราคาหุ้น ASP และ KEST อยู่ที่ 56% และ 48% ตามลำดับ ซึ่งนับว่าอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับ PHATRA, และ BLS ซึ่งมีค่า Correlation Coefficient ของความสัมพันธ์ดังกล่าวที่ 29% และ31% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้น ASP และ KEST มีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับมูลค่าการซื้อขายในตลาดฯ และมีความผันผวนตามตลาดฯสูงที่สุดในกลุ่ม

ดังนั้น ASP และ KEST จึงเป็นหุ้นที่มีโอกาสในการเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น ในช่วงเวลาที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดฯมีแนวโน้ม ปรับตัวดีขึ้น ดังเช่นในไตรมาสที่ 4 ของทุกๆปี Q3/49 มูลค่าการซื้อขายเบาบางลง แต่ในเดือน ก.ย. เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น : ใน Q3/49 มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 13,037 ล้านบาท ลดลง 16% จาก Q2/49 และลดลง 20% จาก Q3/48 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากวงจรธุรกิจ (Seasonal Effect) ที่มูลค่าการซื้อขายจะเบาบางลงใน Q3 ของทุกปี

ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจและปัญหาความไม่ชัดเจนทางการเมืองใน Q3/49 แต่อย่างไรก็ตามในเดือน ก.ย. มูลค่าการซื้อขายมีการปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 15,376 ล้านบาท อีกทั้งใน Q3/49 มีการไหลเข้ามาของเงินเงินทุนต่างชาติ ดังจะเห็นได้จากมูลค่าซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติใน Q3/49 มีมูลค่า ซื้อสุทธิ 30,182 ล้านบาท ซึ่งนับได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับ Q4/49

นักลงทุนต่างชาติเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในตลาดหุ้นไทย : สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุน ต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2546 มีสัดส่วนอยู่ที่ 18% และเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 34% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติ รวมทั้งบริษัทหลักทรัพย์ไทยที่มีฐานลูกค้า ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติได้เปรียบในด้านส่วนแบ่งตลาด ดังจะเห็นได้จากการที่ PHATRA มีแนวโน้มส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2546 ซึงมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 3.04% มาอยู่ ที่ 5.87% ในรอบ 9เดือนแรกของปี 2549

ประมาณการมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยปี 2549 ยังมีความเป็นไปสูง : SCIBS ประเมินมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของปี 2549 ไว้ที่ 16,000 ล้านบาท หรือ Q4/49 มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 14,394 ล้านบาท ซึ่งนับได้ว่าเป็นเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากผลของวงจรธุรกิจ (Seasonal Effect) ที่มูลค่าการซื้อขายที่สูงขึ้นใน Q4 ของทุกปี ประกอบกับหุ้น IPO ใหม่ที่จะเข้าตลาดใน Q4/49

มูลค่าระดมทุนรวมใน Q3/49 ลดลง 79%qoq : ใน Q3/49 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รวม 7 บริษัท มีมูลค่าระดมทุนรวมทั้งสิ้น 5,302 ล้านบาท ลดลง 79%qoq เนื่องจากใน Q2/49 มีการเข้าระดมทุนของ RRC ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 2.5 หมื่นล้านบาท สำหรับ Q3/49 บริษัทที่มี มูลค่าระดมทุนสูงที่สุดที่ 3.6 พันล้านบาท คือ BMCL โดยมี KEST เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ดังนี้ SCIBS คาด KEST มีรายได้จากดีลนี้ประมาณ 30 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ


* ระบุ Q4/49 ไม่มีงาน IPO ที่โดดเด่น
SCIBS ประเมินใน Q3/49 จะมีงาน IPO อีกประมาณ 5 ราย แต่มูลค่าระดมทุนไม่สูงมากนัก นอกจากนี้คงจะเป็นงานด้านที่ปรึกษาทางการเงินอื่นๆ อาทิเช่น การ ควบรวมกิจการ (M&A) และการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) เป็นต้น โดยทั่วไปยังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ฯมีจำนวนสูงถึง 39 บริษัท ประกอบกับการเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้บริษัทหลักทรัพย์ ต่างชาติเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น SCIS คาดว่าจะมีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของ บริษัทหลักทรัพย์ไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ที่จะสามารถแข่งขันได้จะต้องมีเงินทุนที่มากพอเพื่อ รองรับการทำธุรกิจ รวมทั้งการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ เช่น TFEX เป็นต้น

ดังนั้นเราอาจจะได้เห็นการปรับตัวของบริษัทขนาดเล็ก และขนาดกลาง ด้วยการควบรวม หรือหาพันธมิตรที่จะร่วมมือกันเกิดขึ้นในธุรกิจหลักทรัพย์


* เชียร์ซื้อ PHATRA ราคาเป้าหมาย 55 บ.
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง กล่าวว่า คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3 ของกลุ่มหลักทรัพย์จะออกมาไม่โดดเด่นมากนักเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากรายได้หลักของกลุ่มหลักทรัพย์ยังคงพึ่งรายได้จากการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมายังคงเบาบาง ส่งผลให้รายได้ของทั้งกลุ่มลดลง

สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการโดดเด่นมากที่สุดในกลุ่ม น่าจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ (ZMICO)เนื่องจากในปีนี้บริษัทรับงานวาณิชธนกิจค่อนข้างมากและเป็นที่ปรึกษาทางการเงินหลักในการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก(IPO)ของหลายบริษัทแต่บริษัทแนะนำขายเนื่องจากราคาZMICOได้ปรับขึ้นมาสูงกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถให้ตัวเลขมูลค่าปัจจัยพื้นฐานได้เพราะอยู่ระหว่างปรับราคาใหม่ ส่วน บล.ภัทร หรือ PHATRA ก็มีความโดดเด่นในแง่ของงานวาณิชธนกิจเช่นกันบริษัทแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 55 บาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4 ของกลุ่มหลักทรัพย์น่าจะปรับตัวดีกว่าไตรมาส 3 ตามมูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา นอกจากนี้ ความชัดเจนทางการเมืองก็เริ่มมีมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจรวมถึงภาวะตลาดหุ้นด้วย ขณะเดียวกัน บริษัทมองว่าทางการน่าจะยอมผ่อนผันให้คงการเก็บค่าคอมมิชชั่นไว้ที่ 0.25% ไปอีก 3 ปีตามที่สมาคมบล.ขอไปยัง ก.ล.ต. ซึ่งจะส่งผลดีต่อ บล.เพราะส่วนใหญ่พึ่งรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์

คาดการณ์ผลประกอบ Q3/49

Net Profit (Bt mn) 3Q06E 2Q06 %QoQ 3Q05 %YoY
ASP 67 66 1% 103 -36%
BLS 33 39 -15% 36 -9%
CNS 14 25 -46% 11 27%
KEST 106 100 7% 165 -36%
KGI 33 32 2% 13 146%
PHATRA 72 250 -71% 97 -25%
SSEC 3 8 -60% 1 176%
SYRUS -3 0 n.m. 9 n.m.
UOBKH 35 44 -20% 53 n.m.
US -5 -10 n.m. -3 n.m.
ZMICO 24 35 -32% 31 -22%
Total 379 589 -36% 516 -27%

ที่มา : AYS [/color:b495eefe65">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com