April 27, 2024   1:25:58 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นวันนี้ค่ะ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 17/10/2006 @ 10:28:43
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เอเชียพลัสแนะนำถือ BSBMราคาเป้าหมาย 1.27 บาทผลกระทบทางฤดูกาลรวมถึงการปรับตัวขึ้นราคาเหล็กในช่วงเดือนกรกฏาคม ทำให้ผู้ใช้เหล็กชะลอการสั่งซื้อ คาดว่า BSBM จะมีปริมาณการขายเหล็กเส้นในงวด 3Q49 เพียง 44,500ตัน ลดลง 14%QoQ โดยมีราคาขายเฉลี่ยในงวด 3Q49 ที่ ระดับ 17.5 บาท ต่อ ก.ก.ลดลงเล็กน้อยจากงวด 2Q49 ส่งผลให้มูลค่าการขายงวด 3Q49 ลดลง 19%QoQ มาอยู่ที่ระดับ 784 ล้านบาท

ด้านต้นทุนการผลิต BSBM มีต้นทุน billet อยู่ที่ระดับ 390-420เหรียญฯ/ตัน และมีค่าใช้จ่ายการผลิตประมาณ 1,300 บาทต่อตัน ทำให้ระดับ grossmargin ในงวด 3Q49 ปรับตัวลดลงจากงวด 2Q49 ที่ 12.2% เหลือเพียง 4.5% ขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ภายใต้สมมุติฐานข้างต้นคาดว่า BSBM จะมีกำไรจากการดำเนินงานงวด 3Q49 เพียง 7.6 ล้านบาท ลดลง 91%QoQ

ผลประกอบการงวด 3Q49 ที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงมาก ขณะที่ปริมาณการใช้เหล็กเส้นในประเทศยังไม่มีปัจจัยสนับสนุนอย่างชัดเจน รวมถึงโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่คาดว่ายังจะไม่เกิดขึ้นในปี 2550 ทำให้ฝ่ายวิจัยต้องปรับลดประมาณการปี 2549 และ 2550 ลงโดยมีรายละเอียดตามตารางด้านข้าง คาดว่า BSBM จะมีกำไรจากการดำเนินงานในปี 2549 และปี2550 ที่ 49 ล้านบาท และ 195 ล้านบาทตามลำดับ

อย่างไรก็ตามนโยบายการบริหารสินค้าคงเหลือที่รัดกุมขึ้นโดยมีระยะเวลาการเก็บสต๊อกเพียง1-2 เดือน จะช่วยลดความเสียงจากการขาดทุนจากสต๊อกและทำให้มูลค่าทางบัญชีของ BSBM ปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องโดยฝ่ายวิจัยกำหนด Fair value ของ BSBM โดยอิงที่ระดับ P/BV 0.6 เท่า จะให้ราคาหุ้นเหมาะสม ณ สิ้นปี 2549 ที่ 1.27 บาท/หุ้น ใกล้เคียงกับระดับราคาปัจจุบัน โดยมีDividend yield ในอัตราสูงถึง 9.3%บล.บัวหลวงแนะนำถือ APราคาเป้าหมาย 4.08 บาทโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการที่เพิ่งเปิดตัวสู่ตลาด (Vogue@Siam ซึ่งเปิดตัวในไตรมาส 2/49 และขายได้แล้วประมาณ 70% และ Life@BTS ท่าพระ ซึ่งเปิดตัวต้นเดือนกรกฎาคม และมียอดจองแล้ว กว่า40%) เป็นปัจจัยส่งเสริมยอดจองซื้อในไตรมาส 3/49ให้มาอยู่ที่ 2,100 ล้านบาท (เทียบกับ 1,700 ล้านบาทในไตรมาส 1/49 และ 1,500ล้านบาทในไตรมาส 2/49)

ดังนั้น ประมาณการยอดจองซื้อของเราที่ 6,300 ล้านบาทสำหรับปี 2549 มีแนวโน้มที่จะเป็นการประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมเกินไป ปัจจุบัน AP ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7,000 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง (แสดงถึงการคาดการณ์ยอดจองซื้อในไตรมาส 4/49 ที่ 1,700 ล้านบาท)โครงการใหม่ในไตรมาส 4/49: แผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ (เป็นโครงการทาว์นเฮาส์ 3 โครงการและคอนโดมิเนียม 1โครงการ ซึ่งตั้งอยู่ที่สุขุมวิท 42) จะชะลอออกไป 1 เดือนโดยจะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนเนื่องจากสภาพอากาศที่มีฝนตกหนัก (อย่างไรก็ตาม ได้เปิดให้ลูกค้าจองล่วงหน้าแล้ว)หากโครงการทั้ง 4 ของ AP เปิดตัวสู่ตลาดในไตรมาส 4/49 นั้นประสบความสำเร็จ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง AP จะได้บรรลุเป้าหมายยอดจองซื้อในไตรมาส 4/49 ที่ 1,700 ล้านบาทมียอดขายรอการส่งมอบ 2,500 ล้านบาทในปัจจุบันที่จะรับรู้เป็นรายได้ในครึ่งหลังของปี2549: ผู้บริหารกล่าวว่าทางบริษัทจะมียอดขายรอการส่งมอบมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาทในครึ่งหลังของปี 2549 หากพิจารณาเพียงยอดขายรอการส่งมอบที่มีอยู่ AP ก็จะบรรลุประมาณการยอดขายในปี 2549 ของเราที่ 5,700 ล้านบาท (AP รับรู้รายได้ 3,300ล้านบาทในครึ่งแรกของปี 2549 โดย 1,550 ล้านบาทรับรู้ในไตรมาส 1/49 และ 1,740ล้านบาทในไตรมาส 2/49)ยอดจองซื้อเพิ่มขึ้นหลังจากการปฏิรูป:

จากการปฏิรูปในเดือนกันยายน ยอดจองซื้อของ AP ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านต่อสัปดาห์เทียบกับค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 170 ล้านบาทต่อสัปดาห์ตลอดช่วงไตรมาส 3/49 อย่างไรก็ตาม อาจจะเร็วเกินไปที่จะคาดว่ายอดขายจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโอกาสที่กำไรในปี 2550-2551จะสูงกว่าการคาดการณ์: จากยอดจองซื้อที่ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท (เทียบกับประมาณการในปัจจุบันที่ 6,300 ล้านบาท) การรับรู้รายได้ในปี 2550-2551 น่าจะปรับตัวสูงขึ้น เราได้ประมาณการ EPS สำหรับปี 2550 ที่ 0.39 บาท (เพิ่มขึ้น 13%จากปี 2549) และ 0.43 บาท สำหรับปี 2551 (เพิ่มขึ้น 12%) ซึ่งก็ยังคงเป็นประมาณการที่อนุรักษ์นิยมเมื่อเทียบกับประมาณการของผู้บริหารที่ประเมินการเติบโตในช่วง 10-20%

บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 2.20 บาทคาดผลประกอบการ 3Q/49 จะขาดทุนสุทธิ 435 ล้านบาท แย่ลงจากใน2Q/49 ที่ขาดทุนสุทธิ 369 ล้านบาท และใน 3Q/48 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 417 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้บริการเสียงยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากโปรโมชั่นโทรศัพท์มือถือ ขณะที่รายได้บรอดแบนด์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยังไม่สามารถชดเชยได้ เน้นทำตลาดบรอดแบนด์เชิงรุกต่อเนื่องเจาะลูกค้าทั้งรายย่อยและองค์กร ผ่านโครงข่ายของ TT&T และ TTT BB เราคาดว่าในอนาคตแนวโน้มการเติบโตของTT&T จะมาจากธุรกิจให้บริการบรอดแบนด์ และรายได้ค่าเช่าโครงข่ายที่จะได้รับจาก TTT BB และ TT&T SSเราปรับเพิ่มอัตราคิดลดกระแสเงินสดในการประเมินมูลค่าเหมาะสมของหุ้น TT&T เป็น 14% จากเดิม 12% เพื่อสะท้อนความเสี่ยงด้านผลประกอบการที่มีแนวโน้มขาดทุนจนถึงปี 2554 เนื่องจากการถือหุ้นใน TTT BBที่ลดลงอย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้นของ TT&T จะยังได้ประโยชน์จาก TTT BB จากการให้สิทธิผู้ถือ หุ้นของ TT&T จองซื้อหุ้นของ TTT BBยังแนะนำ ซื้อ โดยมีโอกาสสร้างรายได้จากธุรกิจบรอดแบนด์ และให้ค่าเช่าโครงข่าย ประกอบกับ ณ ปัจจุบันหุ้น TT&T ซื้อขายเพียง 0.35 เท่า ของมูลค่าตามบัญชี ขณะที่ในระยะสั้นการเคลื่อนไหวของหุ้น TT&T จะถูกกดดันจากการคาดหมายผลประกอบการ 3Q/49 ที่มีแนวโน้มขาดทุน และการขาดปัจจัยบวกสนับสนุนเราปรับมูลค่าเหมาะสมของหุ้น TT&T ลงสู่ 2.20 บาท จากเดิม 3.60 บาท ตามวิธี DCFหลังจากปรับเพิ่ม WACC เป็น 14% จากเดิม

บล.กิมเอ็งแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว KHราคาเป้าหมาย 7.40 บาทที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ได้ประกาศจะยกเลิกชื่อโครง 30 บาทรักษาทุกโรค โดยจะเปลี่ยนมาให้บริการฟรีทดแทนในขณะที่สิทธิยังคงเดิม นอกจากนี้ยังเห็นด้วยกับการขึ้นงบประมาณรายหัวจากเดิม 1,659 บาท/คนเป็น 2,089 บาท/คน ตามที่คณะกรรมการโครงการหลักประกันสุขภาพเสนอไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขจะต้องปรึกษาถึงแหล่งที่มาของงบประมาณกับกระทรวงการคลังด้วย ซึ่งหากมีการอนุมัติงบประมาณดังกล่าวจริง ประเด็นนี้จะส่งผลบวกต่อ KH อย่างชัดเจน เพราะสัดส่วนรายได้จากโครงการนี้คิดเป็น 16% ของรายได้รวม อีกปัจจัยที่จะช่วยเสริมการเติบโตของผลประกอบการในปี 2550 ก็คืองบประมาณของสำนักงานประกันสังคม โดยปกติแล้วสำนักงานประกันสังคมจะมีการขึ้นงบประมาณในส่วนนี้ปีเว้นปี ซึ่งครั้งล่าสุดได้ปรับขึ้น 19.5% ในปี 2548 ดังนั้นเราคาดว่าสำนักงานประกันสังคมมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นงบประมาณสำหรับปี 2550 ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถประกาศตัวเลขงบประมาณอย่างเป็นทางการได้ประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิของ KH ในไตรมาส 3/49 จะออกมาเท่ากับ 100 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.11 บาท) เติบโต 4% จากไตรมาสก่อนและ 79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะทรงตัวจากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 32.2% เนื่องจากปกติแล้วโรงพยาบาลจะมีคนไข้มากเป็นพิเศษในไตรมาส 3 จากฤดูฝนและวันหยุดทำการที่น้อย แม้ว่ามีโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะปรับงบประมาณของสปสช.เป็น 2,089 บาทหรือเพิ่มขึ้น 26% รวมไปถึงงบประมาณสุขภาพของโครงการประกันสังคม แต่เราได้มีการปรับเพิ่มสมมติฐานการประเมินมูลค่าอย่างอนุรักษ์นิยม โดยคาดว่างบประมาณของสปสช.จะเพิ่มขึ้น 15% และงบประมาณประกันสังคมจะเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งจะได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 7.40 บาท/หุ้น นอกจากนี้เราเปลี่ยนคำแนะนำเป็น ซื้อเมื่ออ่อนตัว เพื่อรอความชัดเจนสำหรับงบประมาณสุขภาพของโครงการทั้ง 2


ข่าวหุ้น



[/color:0973820c57">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com