[b:969f7a4b89">สรุปข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์กระแสหุ้นรายวัน [/b:969f7a4b89">

SCลั่นรายได้พุ่งเกินเป้า การเมืองไม่ฉุดโตยาว30%
?เอสซี แอสเสท? ลั่นรายได้ปีนี้สูงเกินเป้า ผู้บริหาร ?สหัส ตันติคุณ? เดินเกมรุกกระตุ้นยอดขายโครงการเก่า เพื่อรับรู้รายได้เพิ่ม เผยไตรมาส 4 เปิด 2 โครงการมูลค่ารวม 725 ล้านบาท มั่นใจรักษาอัตราเติบโตได้เกินกว่า 30% ในช่วง 5 ปีนี้ ส่วนการรีแบรนด์ยังต้องรอบอร์ดอนุมัติ ย้ำการเมืองไม่กระทบฐานะ แย้มแผนปี 50 ลุยทุกธุรกิจอสังหาฯ ด้านนักวิเคราะห์ประเมินหุ้น SC พื้นฐานเหมาะสม 11.90 บาท

MINT รุกลงทุน เอสแอนด์พี หนุนรายได้โต-ดันราคาหุ้น
?ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล? รุกซื้อหุ้น ?เอส แอนด์ พี? หวังขยายธุรกิจและเพิ่มความหลากหลายในธุรกิจอาหาร รวมทั้งลดค่าใช้จ่าย โบรกฯชี้เป็นเรื่องดีช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กันและกันพร้อมช่วยหนุนราคาหุ้นปรับตัวเพิ่ม แนะนำ ?ลงทุน?

GSTEELโตเด่นชัดปี?50 ราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่าบุ๊ค
?จีสตีล? แกร่งขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นในกระดานยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี คาดปี 50 เห็นตัวเลขกำไรเด่นชัด ผู้บริหาร การันตีพื้นฐานเติบโตพุ่ง เล็งกำไรปีนี้ทรงตัวระดับ 2.5 พันล. แผนเพิ่มกำลังผลิตเหล็กเดินหน้า สิ้นปีแตะ1.15 ล้านตัน นักวิเคราะห์ประเมินกำลังผลิต GSTEEL พุ่งภายหลังโครงการปรับปรุงสายการผลิตเสร็จ หนุนปี 50 โตเด่น ประเมินราคาหุ้นมูลค่าพื้นฐานที่ 1.20 บาท

ต่างชาติไล่ซื้อหุ้นไม่หยุด มั่นใจดบ.นิ่ง-นโยบาย ศก. ชี้สัญญาณทดสอบ 725 จุด

ต่างชาติไล่ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น มั่นใจนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ ประเมินสัญญาณทางเทคนิคระยะกลางดัชนีฯขึ้นทดสอบ 725 จุด ส่วนระยะสั้นแกว่งตัวขึ้น เชื่อต่างชาติซื้อต่อ และมองทิศทางดอกเบี้ยใน-นอก ทรงตัว



^_^

[b:a44dd7c4dd">*DE เผยผู้ถือหุ้นใหญ่จิรายุสขายหุ้นออก 4.17% [/b:a44dd7c4dd">Source - IQ Biz

นายวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล รักษาการกรรมการผู้จัดการ บมจ. ดี อี แคปปิตอล (DE) เปิดเผยว่า ตามที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ
ได้สอบถามรายการซื้อขายบนกระดานรายใหญ่ จำนวน 53.4 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 10.1 นั้น ทั้งนี้ทางบริษัทฯ ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ว่า ทางกลุ่มตระกูลจิรายุส ได้ทำการขายหุ้นสามัญ จำนวน 22,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 4.17 ของหุ้นสามัญ โดยขายผ่านตัวแทนนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่เข้ามาทำการซื้อหุ้นดังกล่าว


^_^

[b:e3a36decf8">DISTAR ขายหุ้น DE 17.02%[/b:e3a36decf8">

คิดเป็น 99.42 ลบ.ให้เอเวอร์กรีน กรุ๊ป
เผยเตรียมนำเงินขายหุ้น DE ลงทุนโครงการรถโดยสาร NGV

^_^

[b:01c618ed81">ASCON: ลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการ Map Ta Phut Logistics Terminal [/b:01c618ed81">
Source - ข่าว SETSMART


บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) มีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าเมื่อวันที่
6 ตุลาคม 2549 บริษัทได้ลงนามในสัญญาจ้างโครงการก่อสร้าง ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ชื่อโครงการ : โครงการ Map Ta Phut Logistics Terminal
เจ้าของโครงการ : บริษัท วินโคสท์ โลจิสติกส์ จำกัด
มูลค่าโครงการ : 88,913,472 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ลักษณะงานก่อสร้าง : ลานกองตู้คอนเทนเนอร์
ระยะเวลาการก่อสร้าง : 120 วัน


^_^

[b:cd7cb64c99"> เทมาเส็คเผยเต็มใจลดสัดส่วนหุ้นในชินคอร์ปในช่วงเวลาที่เหมาะสม [/b:cd7cb64c99">

นายจิมมี่ ฟุน กรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการลงทุน บริษัท เทมาเส็ค โฮลดิ้งส์ ของสิงคโปร์ ได้ส่งแถลงการณ์ไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า เทมาเส็คเต็มใจที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ปในช่วงเวลาและด้วยวิธีการที่เหมาะสม

แถลงการณ์ระบุว่า แผนการลดสัดส่วนหุ้นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจแรกของบริษัทที่จะคงสถานะบริษัทจดทะเบียนของชินคอร์ปในตลาดหลักทรัพย์ไทยไว้ หลังจากที่เทมาเส็คได้ทำคำเสนอเซื้อหรือเทนเดอร์ ออฟเฟอร์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เทมาเส็คไม่ได้ตอบปัญหาที่สร้างความขัดแย้งว่า เทมาเส็คจะยังคงพึ่งพานอมินีเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายการเป็นเจ้าของบริษัทโดยชาวต่างชาติตามของกฎหมายไทยหรือไม่

เทมาเส็คขอชี้แจงว่า การตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยเพราะเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูง มีเสถียรภาพและความพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน แนวทางการลงทุนจะยังคงดำเนินต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง

เทมาเส็คระบุว่า ชินคอร์ปเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่โดดเด่นในภูมิภาคนี้ ประกอบกับมีฝ่ายบริหารและพนักงานที่เก่งและทุ่มเท ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เทมาเส็คตัดสินใจลงทุนในชินคอร์ป



^_^

[b:8688aa01d8">CHUO ขายหุ้นบลิทซ์ มีเดีย (ประเทศไทย)หมดพอร์ต 27% เป็นเงิน 4.79 ลบ. [/b:8688aa01d8">

นายยาซึม่า ชิโมอีอีซะกะ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ชูโอ เซ็นโก (ประเทศไทย) (CHUO) ชี้แจงรายละเอียดการจำหน่ายไปซึ่งเงินทุนในบริษัทย่อย ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เลขที่ 07/2549 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2549 โดยบริษัทฯจะจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท บลิทซ์ มีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด ให้กับ บจ. เอจิส มีเดีย (ประเทศไทย) หมดพอร์ตจำนวนทั้งสิ้น 27% จำนวนหุ้นที่จำหน่าย 405,000 หุ้น

ทั้งนี้ ได้จำหน่ายในราคาขาย 11.831745 บาท/หุ้น (มูลค่าตามบัญชีหุ้นละ 11.831745 บาท) และผู้ซื้อหุ้นชำระค่าหุ้นเป็นจำนวน 4,791,856.74 บาท


^_^

[b:e7db6e6cf0"> KTCโบรกจ้องปรับกำไรเพิ่ม [/b:e7db6e6cf0">

ที่มา : ทันหุ้น
เคทีซี เด้งรับข่าวทางการเตรียมขยับเพิ่มเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตอีก 2% ขณะที่บริหารดอดเก็บหุ้น 2 วันซ้อนรวม 3.38 หมื่นหุ้น โบรกมองส่งผลดีต่อกำไรในปีหน้า และช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน พร้อมเล็งปรับประมาณการเพิ่ม ชี้ระยะยาวเป็นหุ้นที่ซื้อลงทุนได้ ส่วนระยะสั้นราคาหุ้นมีอัพไซด์เหลือน้อย แต่สัญญาณเทคนิคมีลุ้นทดสอบถึงแนวต้านที่ 23.00 บาท แนวรับที่ 21.00 บาท

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) KTC(16 ต.ค.)เปิดที่ 20.50 บาท ปรับขึ้นสูงสุดและปิดตลาดที่ 21.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ 5.39% มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 11.81 ล้านบาท นอกจากนี้จากรายงานข้อมูลการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)พบว่า นายธวัชชัย ธิติศักดิ์วรกุล ได้เข้าซื้อหุ้นKTC เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2549จำนวน 7,700 หุ้น หุ้นละ 19.90 บาท และวันที่ 11 ต.ค.จำนวน 26,100 หุ้นๆละ 19.75 บาท

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า หากทางการมีความชัดเจนเรื่องการเพิ่มเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตเป็น 20% จะส่งผลให้ฝ่ายวิจัยต้องปรับประมาณการของ KTC ใหม่เนื่องจากการเพิ่มเพดานอัตราดอกเบี้ยอีก 2% จะส่งผลดีต่อกำไรในปีหน้า แต่ในปีนี้ไม่ส่งผลบวกมากนัก ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อลงทุนระยะยาวได้ แต่ระยะสั้นราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมารับข่าวดังกล่าวแล้ว จึงคาดว่าราคาหุ้นจะปรับขึ้นได้อีกน้อยมาก โดยให้ราคาเหมาะสมพื้นฐานปีนี้อยู่ที่ 22.50 บาท

นอกจากนี้ KTC ยังได้รับปัจจัยบวกจิตวิทยาการลงทุน หลังจากผู้บริหารได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มเพราะทำให้เห็นความชัดเจนในความมั่นใจของผู้บริหาร

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า KTC ได้ปรับราคาขึ้นมาตอบรับข่าวแนวโน้มการปรับเพิ่มเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิต ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการดีขึ้น ส่วนกรณีที่มีความเป็นห่วงว่านโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาลจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตนั้นมองว่าระยะสั้นจะไม่ส่งผลกระทบกับ KTC และอุตสาหกรรม เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงในทันที อีกทั้งความต้องการใช้บัตรเครดิตยังมีต่อเนื่อง

?นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงไม่น่ามีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในทันที ส่วนการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 2% ไม่น่ามีผลกระทบ เพราะหากผู้บริโภคมีความจำเป็นก็ต้องใช้เงินแน่นอน?นักวิเคราะห์ กล่าว

นักวิเคราะห์ทางเทคนิคบริษัทหลักทรัพย์ไซรัส จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า KTC ปรับราคาขึ้นมารับข่าวปรับอัตราดอกเบี้ยผ่านแนวต้าน 21.00 บาทมาแล้ว จึงคาดว่าจะมีแนวต้านที่ 22.00บาท และแนวต้านถัดไปที่ 23.00 บาท ส่วนแนวรับที่ 21.00 บาท ซึ่งเป็นแนวต้านเดิม แต่ให้ระมัดระวังลงทุนเนื่องจากมีสภาพคล่องน้อย อีกทั้งก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้ปรับลดลงแรงพอสมควร ควรขายเมื่อมีกำไร




^_^

[b:5c3e59dadd"> LPNเทคนิคแจ๋วสุดกลุ่มคอนโด [/b:5c3e59dadd">

ที่มา : ทันหุ้น
โบรกเกอร์ส่องดาวเด่นคอนโดฯ ชูLPN พื้นฐานดี เทคนิคแจ๋วสุด แม้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแต่สัญญาณเทคนิคไปได้ต่อ ด้าน?โอภาส ศรีพยัคฆ์? ผู้บริหารยันตลาดคอนโดปีหน้ายังเติบโตถึง 40% ส่งซิกจ่าย ปันผลปี2549ได้ใกล้เคียงกับที่กิมเอ็งประเมินไว้ที่ 0.28 บาทต่อหุ้น ให้แนวต้าน 5.50 บาท แนวรับ 5.25 บาท
? หุ้นLPN , SPALI เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานของทั้ง 2 บริษัท ประกอบกับอัตราการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอยู่ระดับที่น่าพอใจ แนะนำให้รอจังหวะซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว เนื่องจากราคาหุ้นLPNปัจจุบันเต็มมูลค่าแล้ว ขณะที่SPALI ใกล้เต็มมูลค่า จากราคาหุ้นที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา?นายสุรศักดิ์ กล่าว

นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ฟาร์อีสท์ จำกัด มองหุ้นLPN ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยไต่ระดับ 4.20 บาท เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จนแตะระดับปัจจุบัน แต่สัญญาณทางเทคนิคในหุ้นดังกล่าวยังสามารถที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ โดยให้แนวต้าน 5.50 บาท แนวรับ 5.25 บาท

ส่วนหุ้นSPALI สัญญาณเทคนิคทรงตัวต่อเนื่อง โดยให้แนวรับ 3.38 บาท ส่วนแนวต้าน 3.52 บาท และแนวต้านถัดไปที่ 3.54 บาท

LPN(16 ต.ค.)ปิดที่ 5.45 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 4.81% มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 82.19 ล้านบาท





^_^

[b:ab12b4a389"> TRAF พุ่งอีก 5.26% หลังล้มเพิ่มทุน/รวมนครสั่งปรับแผนเข้าบอร์ด 20ต.ค[/b:ab12b4a389">.

หุ้น TRAF ราคาพุ่งขึ้น 5.26% มาอยู่ที่ 0.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.03 บาท มูลค่าซื้อขาย 17.72 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.35 น. โดยเปิดตลาดที่ 0.58 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 0.61 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 0.57 บาท

ราคาหุ้น TRAF ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังจากที่บริษัทตัดสินใจระงับแผนลดทุนก่อนจะเพิ่มทุนเพื่อขายหุ้น PP ให้กับ พ.ต.อ.รวมนคร ทับทิมธงไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TRAF ตามที่ที่ปรึกษาการเงินเห็นว่าการขายหุ้นไม่เป็นธรรมและไม่เหมาะสม เพราะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในราคาต่ำเกินไป

อย่างไรก็ตาม วานนี้ พ.ต.อ.รวมนคร เปิดเผยกับอินโฟเควสท์ว่า ได้มอบหมายที่ปรึกษาการเงินทบทวนแนวทางการเพิ่มทุนใหม่ หลังจากยกเลิกแนวทางเดิมไป โดยให้พิจารณาวิธีใหม่ที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยให้มากที่สุด และนำผลมาเสนอคณะกรรมการบริษัทภายในวันที่ 20 ต.ค.และน่าจะเห็นการเพิ่มทุนในช่วงต้นปีหน้า




^_^

[b:4ce474baed"> ดัชนีหุ้นนิเคอิเปิดตัวสูงขึ้น [/b:4ce474baed">

( 17 ต.ค.49 ) วันนี้ดัชนีหุ้นนิเคอิของญี่ปุ่น เปิดตัวสูงขึ้น 12.10 จุดอยู่ที่ 16,704.86 ในการซื้อขายช่วงแรกที่เปิดตลาดโตเกียว ส่วนการซื้อขายหุ้นที่ตลาดวอลสตรีท นครนิวยอร์กของสหรัฐเมื่อวานนี้ ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวสูงขึ้น 20.09 จุดปิดที่ 11,980.60 ดัชนีหุ้นเทคโนโลยีแนสแดกเพิ่มขึ้น 6.55 จุดปิดที่ 2,363.84 และหุ้น เอสแอนด์พี 500 สูงขึ้น 3.43 จุดปิดที่ 1,369.05


^_^

[b:0500d081c7"> ATC รูดลง 3.45% โบรกฯแนะขาย หลังราคาพาราไซลีนปรับลงแรง [/b:0500d081c7">

หุ้น ATC ราคารูดลง 3.45% มาอยู่ที่ 35.00 บาท ลดลง 1.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 60.66 ล้านบาท เมื่อเวลา 12.17 น. โดยเปิดตลาดที่ 35.75 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 36 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 35 บาท

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะขายทำกำไร หุ้น ATC ในช่วงนี้ จากการที่ราคาพาราไซลีนสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงอย่างหนักถึง 12% หรือ 147 เหรียญ/ตัน เหลือเพียง 1,085 เหรียญ/ตัน ส่งผลให้ Product-to-feed-margin คาดว่าจะอ่อนตัวลงมากตาม

ไม่เป็นผลดีกับผลกำไรในไตรมาส 4/49 แม้ว่าผลกำไรไตรมาส 3/49 น่าจะออกมีดีมาก แต่ราคาหุ้นที่ขึ้นมากว่า 80% ในช่วง 4 เดือนได้ตอบรับปัจจัยดังกล่าวแล้ว บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็งระบุ

ทั้งนี้ แนะนำให้เปลี่ยนไปลงทุนใน PDI (ราคาเป้าหมาย 43 บาท) หรือ TTA (ราคาเป้าหมาย 32.75 บาท) ซึ่งเป็นหุ้นในแบบวัฎจักรเหมือนกัน

ขณะที่บล.บัวหลวง แนะขายหุ้น ATC ด้วยราคาเป้าหมาย 29 บาท/หุ้น ในระยะยาวยังคงแนะนำให้นักลงทุนเปลี่ยนการลงทุนไปลงทุนใน RRC เนื่องจากเชื่อว่า RRC จะเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าจากการประมาณการอัตราการแลกหุ้น (swap ratio) ที่ 1.10-1.50 หุ้น RRC ต่อหุ้น ATC 1 หุ้น โดยราคาซื้อขายในปัจจุบันของ ATC นั้นค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับมูลค่าที่ควรจะเป็นในช่วง 22-29 บาท คำนวณจากอัตราการแลกหุ้นข้างต้น


^_^

[u:09f995cd63">[b:09f995cd63">ก.ล.ต.ปรับปรุงเกณฑ์เสนอขายหุ้นกู้ในประเทศ [/b:09f995cd63">[/u:09f995cd63">

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2549 มีมติดังต่อไปนี้คือ ให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นกู้ในประเทศไทย โดยผู้ออกต่างประเทศ (baht bond) และอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศที่ออก baht bond สามารถทำ shelf filing ได้ในทำนองเดียวกับที่ได้อนุญาตให้นิติบุคคลไทยไปแล้ว อีกทั้งได้มีมติให้เพิ่มเติมข้อความคำเตือนในแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวนในการเสนอขาย baht bond เพื่อให้ผู้ลงทุนไม่เข้าใจผิดว่า baht bond ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังนั้น ได้รับการประกันราคา หรือรับรองฐานะของผู้ออก หรือความถูกต้องจากกระทรวงการคลัง และได้กำหนดให้ผู้ออก baht bond ที่เป็นบริษัทที่ไม่มีธุรกิจหลัก (Special Purpose Vehicle: SPV) ต้องเปิดเผยข้อมูลของผู้ออกหลักทรัพย์ที่แท้จริง (ultimate issuer) ด้วย

นอกจากนี้ยังยกเลิกการอนุญาตให้นำหุ้นกู้ที่เสนอขายในต่างประเทศมาขายในประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและปิดช่องทางการหลบเลี่ยงหลักเกณฑ์การเสนอขายในประเทศ นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ลงทุนสถาบันส่วนใหญ่สามารถไปลงทุนในต่างประเทศโดยตรงได้แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องผ่อนปรนให้การเสนอขายหุ้นกู้ในต่างประเทศนำบางส่วนมาเสนอขายในประเทศ

โดย ผู้จัดการออนไลน์

^-^

[u:2706e0956e">[b:2706e0956e">บิ๊กล็อตDEเดือนต.ค.กว่า165ล้านบ. คาดกลุ่มพายัพขึ้นผู้ถือหุ้นรายใหญ่[/b:2706e0956e">[/u:2706e0956e">

พบบิ๊กล็อต ดี อี แคปปิตอล ตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.-ปัจจุบันมีจำนวน 143 ล้านหุ้นรวมกว่า 165 ล้านบาท ผู้บริหาร เผยรายการเกิดขึ้นวานนี้ จากบริษัทแม่?ไดสตาร์?ทิ้งหุ้นอีก 26.50 ล้านหุ้น ด้านนักลงทุนรายใหญ่ชี้กลุ่มพายัพ ชินวัตรน่าจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

จากการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่(BigLot)ของบริษัท ดี อี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)หรือ DE ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2549 ถึงปัจจุบัน มีจำนวน 143.50 ล้านหุ้น ในราคาเฉลี่ยตั้งแต่ 1.10-1.21 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่า 165.73 ล้านบาท ทั้งนี้ราคาหุ้น DE วานนี้

นายวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี อี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)หรือ DE เปิดเผยว่า จากการสอบถามผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท พบว่า บิ๊กล็อตที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าวานนี้(16 ต.ค.) 3 รายการจำนวน 53.40 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็น 10.12% ของทุนจดทะเบียน นั้นส่วนหนึ่งมาจาก บริษัทไดสตาร์ อิเลคทริค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ DISTAR ได้ขายหุ้นออกมา จำนวน 26.50 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.02% ของหุ้นสามัญที่ชำระแล้วทั้งหมด ให้แก่ บริษัท เอเวอร์กรีนกรุ๊ป อินเวสต์เมนท์ โดยขายผ่านตัวแทนนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ทั้งนี้ บริษัท เอเวอร์กรีนกรุ๊ป อินเวสต์เมนท์ ไม่มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างไร ส่วนรายการอื่นๆ บริษัทฯ อยู่ระหว่างสอบถามผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายอื่นๆ ต่อไป ส่วนที่ผ่านมาDISATR มีการขายหุ้นออกไปประมาณ 12 % บริษัทยังไม่ทราบว่าผู้ใดที่เข้ามาทำการซื้อหุ้นดังกล่าว

จากการที่DE ได้มีการชี้แจงรายการบิ๊กล็อตที่เกิดขึ้นแล้วนั้นและตลาดหลักทรัพย์ได้เผยแพร่สารสนเทศสำคัญดังกล่าวผ่านทางระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์โดยทั่วถึง ตลาดหลักทรัพย์จึงปลดเครื่องหมาย H หลักทรัพย์ดังกล่าวตั้งแต่เวลา 16.15 น. ของวันที่ 16 ตุลาคม 2549 เป็นต้นไป

แหล่งข่าวนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า การทำรายการซื้อขายในกระดานรายใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาของในหุ้นบมจ.ดี อี แคปปิตอล หรือ DE เป็นการขายหุ้นเพิ่มลดสัดส่วนของบมจ. ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น หรือ DISTAR โดยมีความเป็นได้ว่ากลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาซื้อหุ้นจากบมจ. ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น คือกลุ่มนายพายัพ ชินวัตร

ทั้งนี้ คงต้องรอให้มีการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นก่อนจึงจะรู้ว่าใครเป็นกลุ่มที่เข้ามาซื้อหุ้นนครั้งนี้ โดยหากไม่ได้มีชื่อนายพายัพ ชินวัตร ก็น่าจะมีรายชื่อนอมินีหรือผู้ถือหุ้นแทนเข้ามาถือหุ้น

เค้าน่าจะเข้ามาถือหุ้นใหญ่แล้วแต่คงอาจไม่ได้ใช้ชื่อ ส่วนที่มีการทำรายการบิ๊กล็อตหลายครั้งก็เพื่อจะให้เป็นข่าวบ่อยๆถือว่าเป็นการสร้างข่าวที่เป็นเรื่องปกติแหล่งข่าวกล่าว

อนึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของบมจ.ดี อี แคปปิตอล ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2549 1.บมจไดสตาร์ อิเลคทริค คอร์เปอเรชั่น สัดส่วน 10.23% 2.กลุ่มตระกูลวัฒนสมบัติ สัดส่วน 4.93% 3.กลุ่มตระกูลจิรายุส สัดส่วน 6.09% 4.กลุ่มตระกูลทีฆคีรีกุล สัดส่วน 7.50%

โดย ผู้จัดการออนไลน์

^-^