April 27, 2024   4:42:48 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นค่ะ......
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 18/10/2006 @ 11:01:11
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน








บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อลงทุน UVANราคาเป้าหมาย 39.50 บาทคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 3 เติบโต 67% yoy เป็น 71 ล้านบาท (0.76 บาท/หุ้น)จากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 34% เป็นไปตามฤดูกาลของผลผลิต อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 18.8% จากปีก่อนที่ 17.5% เนื่องจากปริมาณผลผลิตที่มากขึ้นทำให้การแข่งขันกันซื้อผลปาล์มน้อย ในปีหน้าคาดการณ์ความต้องการน้ำมันปาล์มจะเติบโตแข็งแกร่งโดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก

1. การบริโภคน้ำมันปาล์มในภาคครัวเรือนเติบโตสูง และ
2. ความต้องการพลังงานทดแทนโดยนำไปผลิตไบโอดีเซล เหล่านี้จะช่วยพยุงราคาน้ำมันปาล์มในปีหน้าได้ คาดการณ์กำไรสุทธิปี 50 อย่างอนุรักษ์นิยมว่าลดลง 11% เป็น 302 ล้านบาท (EPS 3.21 บาท/หุ้น) จากปริมาณผลปาล์มสดในปีหน้าคาดว่าลดลงเพราะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเมื่อปี 2548 ทำความเสียหายให้กับต้นปาล์ม ยังคงแนะนำซื้อลงทุน ด้วยฐานะการเงินแข็งแกร่งมากปราศจากหนี้ อัตราเงินปันผลตอบแทนที่ 8.9%น่าดึงดูดใจ อีกทั้งราคาหุ้นยังมีส่วนต่างอยู่ถึง 17% เมื่อเทียบกับราคาเหมาะสมของเราที่ 39.50 บาท อิง PER ปี 49 ที่ 11 เท่าในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาราคาผลปาล์มสดปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 2.38 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.98 บาท/กก ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 15.2 บาท/กก. จาก 14.50 บาท/กก. ในไตรมาสก่อนเนื่องจากได้ผ่านช่วงฤดูเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ไปแล้ว แต่ราคาลดลงโดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพราะปีที่ผ่านมาผลผลิตขาดแคลนจากภาวะฝนแล้ง แนวโน้มในไตรมาส 4คาดว่ากำไรจะปรับลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ๆ ตามฤดูกาลของธุรกิจน้ำมันปาล์ม แต่ยังคงคาดว่าจะเติบโตดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณผลปาล์มสดในปีหน้าคาดว่าจะลดลงจากผลกระทบภัยแล้งต่อเนื่องจากปี 48 อย่างไรก็ดีคาดว่าจะไม่เกิดปัญหาขาดแคลนเพราะปีนี้มีสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบอยู่มากกว่า 2 แสนตัน ทำให้ปีหน้ามีแนวโน้มที่จะส่งออกมากขึ้น

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สแนะนำขาย LHราคาพื้นฐาน 6.00 บาททางผู้บริหารบริษัทได้ยืนยันยอดขายในงาน 2 Days Special Salesซึ่งมีขึ้นในวันที่ 7-8ต.ค.49 เป็น 200 หน่วย หรือคิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาทเศษ ข้อดีคือช่วยเพิ่มยอดขายใน 4Q49 อย่างไรก็ตามอัตรากำไรขั้นต้นที่ได้ก็ต่ำเช่นกันเป็นเพียง 25% จากระดับปกติที่ 31-32% แนวโน้มธุรกิจที่เหลือของปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น อันเป็นผลพวงจากการเปิดขาย8 โครงการใหม่ มูลค่าขาย 17.9 พันล้านบาท อีกทั้งแรงกระตุ้นการเข้า Trading หุ้นบริษัทในระยะอันใกล้คือ การขายสินทรัพย์ที่เป็นธุรกิจเช่าในกลุ่มออกไป รวมทั้ง QH ก็จะขายด้วย ทั้งนี้การจัดเตรียมการขายสินทรัพย์ให้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ทำโดย QHอาจจะเกิดขึ้นได้ปลายปี 49 นี้ เรายังไม่ได้รวมกำไรที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในการขายสินทรัพย์ไว้ในประมาณการ ในภาพรวมแล้วธุรกิจที่อยู่อาศัยในปี 50 มีปัจจัยบวกคือ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง และราคาน้ำมันที่ขณะนี้ปรับตัวลดลง จะทำให้ความมั่นใจของผู้บริโภคในการซื้อบ้านดีขึ้น ยอดขายบ้านที่ดีขึ้นน่าจะมีตามมา เราได้มีการปรับกำไรสุทธิปี 50 ให้ดีขึ้น 8.6%เพื่อสอดคล้องกับแนวโน้มปี 50 ที่ดีขึ้น แต่เนื่องจากราคาหุ้นขณะนี้ซื้อขายที่ P/E ปี 49ที่25เท่า และลดลงเป็น 19 เท่าในปี 50 ถือว่าแพง เราจึงคงคำแนะนำขาย ด้วยราคาพื้นฐาน6.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี Sum-of-Parts

บล.กรุงศรีอยุธยาแนะนำถือ PTTEPราคาเป้าหมาย 115 บาทAYS คาดผลการดำเนินงาน 3Q49 ของ PTTEP จะไม่โดดเด่นทั้ง YoY และ QoQ โดยคาดกำไรสุทธิ 6,765 ล้านบาท ลดลง 6% YoY จากค่าใช้จ่ายในการผลิต และค่าใช้จ่ายในการสำรวจ รวมทั้งค่าเสื่อมราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าปริมาณยอดขายและราคาขายเฉลี่ยปิโตรเลียมจะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม และเปรียบเทียบ QoQ ลดลง 7% จากค่าใช้จ่ายตัดจ่ายหลุมแห้ง Zatila 1 ของโครงการ M9 ในพม่า จำนวน US$15 ล้าน AYS ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 49-50 ลง 5-7% จากประมาณการเดิม เหลือ 28,942 ล้านบาท และ 30,167 ล้านบาท ตามลำดับ จากการปรับขึ้นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expense)เพิ่มขึ้น 9% จากประมาณการเดิม เป็น US$5.8-5.9/boe โดยส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการสำรวจที่มีค่าใช้จ่ายตัดจ่ายหลุมแห้งของโครงการ M9 ในพม่า ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 3Q49 ประมาณ US$15 ล้าน และของโครงการ Vietnam 16-1 ในเวียดนามที่คาดว่าจะรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายใน 4Q49 ประมาณ US$5 ล้าน (เป็นการประเมินเบื้องต้นของAYS) รวมทั้งการปรับค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น 1 บาท เป็น 38 บาท/US$ ในปี 49-50PTTEP เป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ที่มีโครงสร้างทางการเงินแข็งแกร่ง โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.1 เท่า ในปี 50 และมีการเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างมีเสถียรภาพ จากการพัฒนาโครงการปิโตรเลียมที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดกำไรสุทธิจะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 6% ต่อปี ในช่วงปี 49-51 รวมทั้งมีอัตราเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ย 3% ต่อปี สำหรับผลการดำเนินงานปี 49-51 นอกจากนี้ PTTEP ยังมีโครงการปิโตรเลียมที่มีศักยภาพอีกหลายโครงการที่รอการพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มปริมาณสำรอง และสร้างการเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่องในอนาคต

บล.ธนชาตแนะนำขาย SCCราคาเป้าหมาย 185 บาทคาดการณ์ผลประกอบการ 3Q06 ของ SCC ว่าน่าจะมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 8.9พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% y-y และ 23% q-q ผลประกอบการที่เติบโตนี้น่าจะมาจากspread ของธุรกิจปิโตรเคมีที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่เราคาดว่าผลประกอบการที่จะรายงานตลาดฯ ใน 3Q06 จะมีกำไร7.5 พันล้านบาท ลดลง 10% y-y และ 1% q-q แต่ SCC จะบันทึกขาดทุนจากเงินลงทุนใน Thai CRT(TCRT) (สุทธิจากภาษี) จำนวน 1.7 พันล้านบาทใน 3Q06 โดย TCRT มีขาดทุนต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากธุรกิจ TV cathoderay tubes เป็นวัฏจักรขาลง และ SCC จะหยุดการผลิตดังกล่าวในเดือนหน้า ทั้งนี้ ใน2Q06บริษัทฯ มีการบันทึกผลขาดทุนจากบริษัทดังกล่าวจำนวน 400 ล้านบาท สำหรับธุรกิจหลักของ SCC นั้น เราคาดว่ากำไรของธุรกิจปิโตรเคมีจะขยายตัวถึง 15% y-y และ 70%q-q โดย HDPE-naphtha spreads เพิ่มจากUSD485/tonne ใน 3Q05 และ USD583/tonne ใน 2Q06 เป็น USD690/tonne ใน 3Q06โดยราคา naphtha ปรับลดลงตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่ราคาปิโตรเคมียังค่อนข้างทรงตัวเนื่องจากบางโรงงานในภูมิภาคได้หยุดการผลิตลง นอกจากนี้ บริษัทลูก (เช่นPTTCH ซึ่ง SCC ถือหุ้น 20%) ก็น่าจะมีผลประกอบการที่ค่อนข้างดี สำหรับธุรกิจซิเมนต์ เราคาดว่าผลประกอบการน่าจะลดลงจาก 3Q05เนื่องจากมาร์จินที่ลดลงจากผลของต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่น่าจะทรงตัวจาก 2Q06ส่วนธุรกิจกระดาษน่าจะมีกำไรเติบโต 25% y-y เนื่องจากราคากระดาษปรับตัวดีขึ้น และการประหยัดพลังงานจาก UPPC ทำให้กำไรสุทธิดีขึ้นเล็กน้อยจาก2Q06 คือเพิ่มขึ้น 5% q-qสำหรับแนวโน้มใน 4Q06 นั้น เราคาดว่าผลประกอบการที่แท้จริงน่าจะอ่อนตัวลงจาก 3Q06โดยเราคาดว่า spread ของธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะอ่อนตัวลงเนื่องจากโรงงานหลายแห่งในเอเชียเหนือที่ปิดทำการผลิตใน 3Q06 จะเริ่มกลับมาผลิตตามปกติ ส่วนกำไรสุทธิที่จะรายงานตลาดฯ ก็น่าจะอ่อนตัวลงอีกเพราะแม้จะมีการบันทึกกำไรจากการขาย Siam UnitedSteel (สุทธิจากภาษี) จำนวน 1.6 พันล้านบาท แต่ก็จะมีผลขาดทุนต่อเนื่องจากเงินลงทุนใน TCRT (สุทธิจากภาษี) ราว 2.7พันล้านบาทใน 4Q06 ทำให้ใน 4Q06 น่าจะมีรายการพิเศษที่แสดงตัวเลขติดลบ อนึ่งการบันทึกผลขาดทุนจาก TCRT จำนวน 2.7 พันล้านบาทใน 4Q06 จะเป็นขาดทุนก้อนสุดท้ายที่ SCC จะบันทึกจากบริษัทนี้เนื่องจาก TCRT จะหยุดการผลิตลงในเดือนหน้า











[/color:54ff686bdd">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com