April 28, 2024   7:23:56 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ป็อก ! ป็อก ! เคาะหุ้น !
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 31/10/2006 @ 11:08:21
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

แนวโน้มดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระยะสั้นเริ่มเดินสู่เส้นทาง เครื่องหมายคำถามหรือทางสองแพร่ง ระหว่างหุ้นขึ้นต่อ กับพักตัวต่อแบบชั่วคราว หรืออาการหุ้นแดงยังแพงอยู่(นาน) ทำให้การลงทุนระยะสั้นเป็นไปอย่าง ระมัดระวังสุขุมคัมภีรภาพ เนื่องจากตำแหน่งดัชนีปัจจุบันกินกันลำบากมากขึ้น

กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีระยะสั้นนั้นอยู่ในกรอบ 718 - 740 จุด การเล่นในทางขึ้นหมายความว่าดัชนีไม่ควรปรับต่ำกว่าระดับ 718 จุดเพราะการปิดต่ำกว่าหมายความว่าเก้าอี้ดนตรีรอบหลังสุดระหว่างกรอบ 673 - 738 จุดนั้นถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ผู้โดยสารสามารถเตรียมสิ่งของและสัมภาระลงจากขบวน และเตรียมหาขบวนใหม่(หุ้นใหม่) สำหรับเดินทางต่อไปได้ เพราะขบวนนี้ถึงจุดหมายปลายทางภาคเหนือแล้วหลังจากนั้นจะเดินทางล่องใต้สักพักหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

แต่หากไม่เป็นไปตามคาดการณ์กรณีแรกและดัชนีเป็นเพียงการ พักฐาน แต่ยังอยู่ในแนวโน้มขึ้นต่อไป การพักฐานควรทำให้ดัชนีสามารถรักษาระดับได้บริเวณ 718 -720 จุดหลังจากนั้นควรจะเดินทางขึ้นทดสอบแนวต้านบริเวณ 738 อีกครั้งเมื่อสร้างจุดสูงใหม่เหนือแนวต้านดังกล่าว ซึ่งตำแหน่งปัจจุบันเป็นเรื่องค่อนข้างตัดสินใจยากเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ดังนั้นตลาดอาจจะมีการ สร้างความผิดพลาดได้(Error)
แต่อย่างไรก็ตามหากเกิดกรณี Error ดัชนีปิดไม่ควรต่ำกว่า 716 จุดจึงจะเป็นมุมมองเชิงบวกที่ดำเนินต่อไป หากต่ำกว่านี้ถือว่า คนละเรื่อง และต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยการลดการถือครองหุ้นและเน้นถือครองเงินสดเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมหาจังหวะการลงทุนใหม่อีกครั้ง

ถามว่าการปรับฐานราคาของดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์เพียง 3 วันทำการเทียบกับการปรับตัวในทิศทางขึ้นต่อเนื่องกว่า 20 วันทำการนั้นเพียงพอหรือไม่ และบริเวณดัชนีแนวใดที่มีความสำคัญสำหรับการเข้าลงทุนรอบใหม่จะพบว่าดัชนีแนวรับสำคัญคือบริเวณ 716 และ 705 จุด ส่วนกรณีที่แย่สุดคือต่ำกว่า 700(695) ซึ่งหากเป็นไปในกรณีที่สอง และกรณีที่สามตลาดหุ้นไทยคงไม่น่าลงทุนมากนัก เพราะการปรับฐานราคาลึกและรุนแรงเกินไป และที่สำคัญการที่ดัชนีปรับต่ำกว่า 715 จุดลงมานั้นจะทำให้รูปแบบทางเทคนิคนั้นแกว่งไปมากจนเรียกนักลงทุนคืนตลาดยาก แต่ยังอยู่ในความเป็นไปได้เช่นกัน

หันมาพิจารณาปัจจัยที่กระทบต่อทิศทางการลงทุนบ้าง ตัวแปรหลักที่กระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้นคือ
ราคาหุ้นระยะสั้นอิ่มตัวทำให้มีการเทขายเพื่อทำกำไรระยะสั้นในหลักทรัพย์ที่มีการฟื้นตัวของราคาหุ้นในอัตราที่จูงใจ รองลงมาเป็นภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศที่เริ่มมีการปรับตัวลงโดยเฉพาะตลาดหุ้นหลักอย่างอเมริกา
ญี่ปุ่นและฮ่องกงเริ่มมีการปรับฐานราคา
นอกจากนี้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องผลประกอบการที่ประกาศออกมาของบริษัทส่วนใหญ่นั้นได้ปรากฏข้อเท็จจริงออกมาเป็นส่วนใหญ่แล้วทำให้ไม่มีตัวแปรที่กระตุ้นในระยะสั้น

พฤติกรรมการลงทุนระยะสั้นหากสังเกตุจากยอดสุทธิการซื้อขายแล้วปรากฏว่านักลงทุนต่างประเทศยังคงเป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิสะสมตลอดเดือนตุลาคมซึ่ง เงินทุนไหลเข้าส่วนหนึ่งสะท้อนออกมาในลักษณะของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐที่แข็งขึ้น โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ระดับ 36.68 บาทต่อเหรียญสหรัฐซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างแข็งเทียบกับ 37.90 บาทต่อเหรียญสหรัฐเมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยน ณ ปัจจุบันหากจะมองเป็นตัวแปรเชิงบวกก็มองได้
แต่ในทางกลับกันค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกเพราะจะได้กำไรทั้งหุ้นและทั้งเงินเช่นกัน

ข้อสังเกตุทางเทคนิคหากมองจากเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเช่น Candle stick, Modified Stochastic, MACD ส่วนใหญ่ยังส่งสัญญาณการปรับตัวที่ดำเนินต่อไป ดังนั้นการหาจุด ยูเทิร์น ของตลาดระยะสั้นนั้นยังเป็นการเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าตลาดหุ้นจะมีการ กลับหลังหัน เพราะเป็นการเร็วเกินไปเพราะการที่ดัชนียังคงมีการทำจุดต่ำใหม่ระหว่างวันทำการและปิดต่ำกว่าดัชนีเปิดยังเป็นการฟ้องว่า การปรับตัวยังไม่สิ้นสุด แต่ในแง่รายละเอียดหรือใส้ในแล้วนั้น คงต้องพิจารณาในหลักทรัพย์รายตัวมากกว่า ว่าหลักทรัพย์ใดยังมี ศักภาพสำหรับขึ้นต่อ
และหลักทรัพย์ใดเริ่มอันตรายสำหรับการอ่อนตัวเพราะหากถือต่อจะสร้างผลขาดทุนในการลงทุนสูงขึ้น

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นยังคงเน้นการ เก็งกำไรระยะสั้น ๆ ตามสภาพคล่องและภาวะตลาด
โดยควรเลี่ยงหุ้นกลุ่มหลักที่ราคาหุ้นเริ่มอิ่มตัวและอยู่ระหว่างการปรับฐานราคาเพราะปกติเวลาดัชนีอ่อนตัวและมูลค่าการซื้อขายในตลาดต่ำกว่าระดับ 10,000 ล้านบาท หลักทรัพย์ในกลุ่มมาร์เก็ตแคปแม้ว่าปัจจัยพื้นฐานดีแต่ต้องใช้เงินทุนมหาศาลเพื่อขับเคลื่อนราคา ขณะที่หุ้นประเภท Small Cap ประเภทมีมาร์เก็ตเมคเกอร์นั้นอาจจะมีพฤติกรรมการลงทุนที่ ตื่นเต้นและท้าทายคลายเหงาได้ดีกว่า ส่วนความเสี่ยงนั้นไม่ต้องกล่าวถึง เพราะสูงระดับยอดตาลเช่นกัน ดังนั้นกลยุทธ์ที่สำคัญคือ ใช้ความเร็วในการหยิบเงินจากตลาด หากช้ารับรองมือหัก
หรือมือขาดเพราะปู่โสมจะตัดมือเอาครับ

หุ้นกลุ่ม Money Game ที่อาจจะเป็นตัวเลือกประเภทหากโชคดีจับฉลามได้ ได้กินหูฉลาม แต่หากจับไม่ชำนาญก็กลายเป็นเหยื่อฉลามเช่น MME QH TPI TT&T MFEC RICH PTL ส่วนเกรดลงทุนถึงปีหน้าที่น่าติดตามเช่น TRUE BCP TOP SSI เป็นต้น[/color:2b29652dda">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com