April 28, 2024   1:30:16 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > มุมมองโบรคเกอร์.........^-_-^
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 02/11/2006 @ 10:16:48
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บาทแข็งกดดันหุ้นไทยปรับฐานระยะสั้น
เชื่อเงินนอกหนุนระยะกลาง-ยาวไปโลด

- FNS-AYS- TNITY-SCIBS ฟันธง พ.ย.นี้ยังต้องระวังแรงขายทำกำไร

4 โบรกฯดัง FNS-AYS- TNITY-SCIBS ฟันธงหุ้นไทยรับผลกระทบจากค่าบาทแข็ง อาจจดดันให้มีแรงขายทำกำไรในระยะสั้น โดยเฉพาะในเดือน พ.ย.นี้ หลังมีการประกาศผลงานQ3/49 แต่เชื่อหลังจากนั้นแรงซื้อจะกลับเข้ามาอีกครั้ง จากเงินนอกที่ไหลเข้าต่อเนื่อง เศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัว แถมตลาดหุ้นไทยยังราคาถูกและขยับขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านในเอเชียด้วยกัน เชื่อหนุนหุ้นไทยในปี 2550 มีโอกาสปรับตัวสูงถึง 780 จุด

- FNS ชี้ บาทแข็งเร็วจูงใจขายทำกำไรในระยะสั้น แต่ทุนนอกไหลเข้าช่วยหนุนดัชนีฯพุ่งระยะกลาง-ยาว
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่แล้วนักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อสุทธิใน 6 ประเทศเอเชียรวมมูลค่า 612 ล้านเหรียญ ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 45% ซึ่งเป็นผลมาจากการขายทำกำไร ภายหลังดัชนีฯมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและจากการคาดการณ์ถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดย MSCI-Ex Japan ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% ขณะที่ดัชนีประเทศอินเดีย (+1.6%) และ ฟิลิปปินส์ (+3.3%) มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด ส่วนตลาดไทยแทบไม่เปลี่ยนแปลง ทว่านักลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อสุทธิ 147 ล้านเหรียญ
FOMC ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25% และอาจปรับลดลงในไตรมาส 1 ปีหน้า ประกอบกับแนวโน้มการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ US Dollar Index อ่อนค่าลง 0.58% ขณะที่ดัชนีค่าเงินสกุลเอเชีย (JPMACI) เพิ่มขึ้น 0.82% ซึ่งคาดว่าแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์จะยังคงอ่อนตัวลง และส่งผลต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น ซึ่งกระทบต่อการส่งออกของไทย ทว่าการแข็งค่าของเงินสกุลเอเชียนั้นจะดึงดูดความน่าสนใจในการลงทุนตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในระยะสั้นเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว และแรงเกินไปจะสร้างแรงจูงใจต่อการขายทำกำไร จึงปรับมุมมองเชิงลบต่อตลาดไทยสัปดาห์นี้
การแข็งค่าของ JPY ส่งผลต่อการแข็งค่าเงินสกุลเอเชีย โดยได้รับการสนับสนุนการปรับตัวเพิ่มจากนโยบายอัตราดอกเบี้ย BoJ ที่มีแนวโน้มปรับขึ้น พิจารณาจาก MSCI-Sovereign Japan GBYields อายุไม่เกิน 3 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.1% ขณะที่ผลตอบแทนอายุ 7-10 ปี เพิ่มขึ้น 0.5% เวลาเ ดี ย ว กั น MSCI SovereignEmerging Markets GB Yieldsอายุ 7-10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.2% สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยให้ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับที่สูงอยู่ โดยเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในไทยโดยธุรกรรมซื้อขายเงินบาทสุทธิโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละ 30 ล้านเหรียญ ส่งผลให้บาทแข็งค่าขึ้นผิดปกติ
บทวิเคราะห์ระบุว่า สองสัปดาห์แล้วที่เริ่มมีการขายทำกำไรในตลาดหุ้น และโยกเงินเข้าสู่ตลาดโภคภัณฑ์ โดย DJAIGCปรับตัวขึ้น 2.1% ซึ่ง AIG Petrochemicals ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุด 2.3% ขณะที่ AIGEnergy และ AIG IndustrialMetals เพิ่มขึ้นเพียง 0.7%
ดัชนี MSCI ในตลาดสำคัญยังคงทำจุดสูงสุดต่อเนื่อง แต่สัญญาณทางเทคนิค ได้บอกว่าทั้ง MSCI-Ex Japan, ฟิลิปปินส์, มาเล เซียได้เข้าสู่ภาวะ Overbought (OB) และมีแนวโน้มจะถูกขายทำ กำ ไรในสัปดาห์นี้ ขณะที่อินเดีย ,อินโดนีเซียมีสัญญาณ OBอ่อนๆ
ตลาดไทยยังอยู่ในภาวะปกติดังนั้น Flows ที่ไหลเข้าต่อเนื่องจะสนับสนุน SET ให้ปรับตัวลงไม่มาก จึงยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ SET ในระยะกลาง ขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลต่อการขายทำกำไรในระยะสั้น ทั้งนี้ MSCI-Thailand ยังคงUnderperformance เมื่อเทียบกับ MSCI-Asia Ex Japan ขณะเดียวกัน MSCI-Thailandในรูป USD ได้ให้ผลตอบแทนตั้งแต่สิ้นกันยายน จนถึงวันที่ 27 ต.ค.ราว 9% ขณะที่ MSCI ในรูปเงินบาทให้ผลตอบแทนเพียง 6.4%
นักลงทุนต่างชาติยังคงชะลอการลงทุนในเกาหลีใต้หลังสถานการณ์ในเกาหลีเหนือยังคงตึงเครียด โดยมีการขายสุทธิในสัปดาห์ที่แล้ว 440 ล้านเหรียญและขายสุทธิตลอดเดือนนี้ 416ล้านเหรียญ
เงินทุนเคลื่อนยังคงย้ายจากเกาหลีสู่ไต้หวันอย่างต่อเนื่องโดย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 708 ล้านเหรียญ และมียอดซื้อสุทธิสูงที่สุดในเอเชียเดือนตุลาคม 1.9 พันล้านเหรียญ
นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในไทย 147 ล้านเหรียญ ขณะที่ซื้อสุทธิตลอดเดือนนี้ 490 ล้านเหรียญ ทั้งนี้ไทยเป็นตลาดที่ปรับตัวแย่สุดในเอเชียจากปัญหาการเมืองภายใน อย่างไรก็ตามเราคาดว่าแนวโน้มมุมมองของไทยกำลังปรับตัวดีขึ้น หลังรัฐบาลพยายามอธิบายต่อนักลงทุนต่างประเทศอย่างเต็มความสามารถ
เงินทุนไหลเข้ามาในกลุ่ม TIP เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 206 ล้านเหรียญ ทั้งนี้เป็นการไหลเข้าไทยในสัดส่วนถึง 71% ขณะที่เงินทุนไหลเข้าฟิลิปปินส์ 60ล้านเหรียญ
ที่ฟิลิปปินส์ ข้อมูลการซื้อขายได้แสดงให้เราทราบว่าตลาดได้เข้าสู่ภาวะ Overbought แล้ว และมีแนวโน้มที่จะถูกขายทำกำไร โดยเราคาดว่าเงินลงทุนน่าจะโยกเข้าสู่ไทยในสัปดาห์หน้า
อินเดียมีการซื้อสุทธิ 141 ล้านเหรียญเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมีการซื้อสุทธิสะสมถึง 7.5 พันล้านเหรียญในเดือนนี้ ทั้งนี้แรงซื้อสุทธิมีแนวโน้มการชะลอตัวลงจากภาวะ Overbought

- บล.ทรีนิตี้ คาดเดือน พ.ย.ดัชนีฯจะปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ จก. (TNITY)กล่าวว่า ?เราคาดการณ์ว่าช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญเพื่อสะท้อนความเสี่ยงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ นักลงทุนควรหาจังหวะเข้าเก็บหุ้นกลุ่มพลังงาน (PTTEP ,TOP) กลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB, BBL, TISCO, SCIB) และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PS,LH, SPALI, AP) เพราะหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการปรับตัวของค่า PE และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น?
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์มองว่าปัจจัยที่จะเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนดัชนีฯ ให้เพิ่มสูงขึ้นมาจากทิศทางสัญญาณอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารกลางสหรัฐลดลงส่งผลให้ส่วนชดเชยความเสี่ยงลดลงเช่นเดียวกัน อีกทั้งส่วนต่างผลตอบแทนจากตราสารทุนและตราสารหนี้ในปัจจุบันยังคงน่าสนใจอยู่ที่ประมาณ 7% ซึ่งสามารถกระตุ้นความน่าสนใจให้กับนักลงทุนได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังได้ประเมินความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยว่ายังถือว่าช้า หากเทียบกับดัชนีของประเทศในตลาดภูมิภาคเอเชียประมาณ 10% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวแตะได้ถึงระดับ 780-800 จุดในระยะเวลา 6 เดือนจากนี้ไป หรืออยู่ในช่วงต้นปี 2550 มีความเป็นไปได้สูง และการที่เศรษฐกิจในประเทศจีน ญี่ปุ่น และยุโรป แข็งแกร่งขึ้น ช่วยทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมีแนวโน้มอ่อนตัวลงสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาที่เริ่มอ่อนแอตามลำดับ จึงส่งผลให้เงินทุนจากต่างประเทศจะไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น
นายวิศิษฐ์ กล่าวเสริมว่า การปฏิวัติภายในประเทศเป็นปัจจัยที่สะท้อนถึงความตกต่ำทางเศรษฐกิจของอเมริกาได้ โดยพิจารณาถึง SET ในช่วง 3 เดือนก่อนและ 6 เดือนหลังจากปฎิวัติ ร.ส.ช.ในปี 2534 ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นก่อนที่เศรษฐกิจอเมริกาจะตกต่ำลงถึง 3 เดือน ดังนั้นถ้าจะเปรียบเทียบ SET ในช่วงหลังปฏิรูปการปกครองปี 2549 กับ ปี 2534 ที่ผ่านมา มีลักษณะเคลื่อนตัวคล้ายกัน จึงมีความเป็นได้ว่าจากภาวะดังกล่าวจะสามารถสะท้อนให้ภาพเศรษฐกิจอเมริกาที่จะกลับมาตกต่ำได้อีกครั้ง นั่นก็แสดงว่าจากนี้ไปจนถึงช่วงต้นปีหน้าจะมีเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย และเรามีโอกาสจะได้เห็น SET ปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน

- AYS เชื่อกลางเดือน พ.ย.หุ้นไทยยังปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ
บทวิเคราะห์จาก บล.กรุงศรีอยุธยา (AYS) ระบุว่า กระแสเงินทุนต่างชาติเข้าสู่ตลาดทุนต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ถึง วันที่ 25 ต.ค. ภายหลังการทำรัฐประหาร นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อหุ้นสุทธิรวม 1.1 แสนล้านบาท โดยเริ่มกลับเข้าซื้อล่าสุด ตั้งแต่เดือน ก.ค. 49 ซึ่งซื้อสุทธิติดต่อกัน 4 เดือนและเฉพาะในเดือน ต.ค. 49 สิ้นสุด 25 ต.ค.ได้ซื้อสุทธิรวม 1.6 หมื่นล้านบาทคาดว่าแนวโน้มการเข้าซื้อจากนักลงทุนต่างชาติจะยังคงมีต่อเนื่องในเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จำกัดความเสี่ยงของการปรับตัวลดลงของ SET หากมีการขายทำกำไรออกมา
ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัย สะท้อนถึงเงินไหลเข้าเงินบาท ณ 26 ต.ค. ยืนที่ 37.0 บาทต่อ US$ ซึ่งแข็งค่าขึ้น 13.9% (ณ 20 ก.ค 48 ซึ่งเป็นวันที่ค่าเงินหยวนขยายช่วงการซื้อขาย)ในขณะที่ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น 4.9% และค่าเงินอื่นในสกุลภูมิภาคเช่น สิงคโปร์แข็งค่า 7.2% เกาหลีแข็งค่า 9.3% ฟิลิปปินส์แข็งค่า11.5% อินโดนิเซียแข็งค่า 7.2% และริงกิตมาเลเซียแข็งค่า 3.3%
เห็นได้ชัดว่าค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นสูงสุดซึ่งสามารถสะท้อนได้ในระดับหนึ่งถึงการไหลเข้าของเงินทุนที่เข้าสู่ตลาดทุนไทย แนวโน้มในระยะสั้นเราคาดว่าค่าเงินจะยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องตามการคาดหวังของค่าเงินหยวนที่ยังมีแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นจากแรงกดดันของประเทศคู่ค้าหลักเช่นสหรัฐ และอาจจะส่งผลลบต่อหลักทรัพย์ ในกลุ่มส่งออกเช่น อิเล็กทรอนิกส์
แต่ด้วยผลประกอบการที่เป็นฤดูกาล ในไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของกลุ่มนี้ คาดว่าการปรับตัวลงของกลุ่มนี้ อาจจะมีแรงซื้อกลับเพื่อเก็งกำไรในช่วงสั้น DELTA, HANA ตลาดฯอาจพักฐานเพื่อไปต่อ รอเข้าซื้อที่ระดับ 715-720สภาวะตลาดในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมาปรับตัวอยู่ในกรอบ 679-725 จุดโดยปิดสูงขึ้น 5.8% หรือสูงกว่า AYS คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 673-709จุด ซึ่งสาระสำคัญของการปรับตัวขึ้น เกิดจากการเคลื่อนย้ายทุนจากต่างชาติเป็นสำคัญไหลเข้าสู่ตลาดทุนทั่วโลกรวมถึงไทย ซึ่งประเมินว่าจะยังส่งผลต่อภาวะตลาดฯในเดือนพ.ย. นี้เช่นกัน
ในเชิงเปรียบเทียบ SET ที่ระดับ 728.49 จุด (ราคาปิด ณ 26 ต.ค.) กับราคาปิด ณ สิ้นปี 48 ที่ 713.73 จุดนั้น เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 2.1% และเมื่อเทียบกับตลาดฯ ในภูมิภาคเอเชียที่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างมาก ประเมินว่ายังมีโอกาสที่ SET จะปรับตัวขึ้นได้จากทุนต่างชาติที่ไหลเข้าต่อเนื่อง กอปรกับในช่วงกลางเดือน พ.ย. จะเป็นช่วงเวลาที่บริษัทได้ประกาศงบ 3Q49 ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ลดลง ดังนั้นช่วงจังหวะดังกล่าวคาดตลาดจะมีการปรับฐาน (เพื่อขึ้นต่อ)

- นครหลวงไทยมั่นใจระยะสั้นหุ้นไทยยังไปได้ หลังเม็ดเงินนอกยังหนุน
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวถึงแนวโน้มภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยในระยะสั้นว่า เชื่อว่าดัชนีฯยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจะได้แรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ยังไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย รวมถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซีย เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงชะลอตัว
อย่างไรก็ดี หากดัชนีฯมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงก็คงมีแรงขายทำกำไรออกมาในระยะกลาง ซึ่งคงต้องขึ้นอยู่กับว่าดัชนีฯจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด ในขณะที่ระยะยาวก็ยังคงเชื่อว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติก็ยังไหลเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะคาดว่าในปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐก็ยังคงมีการชะลอตัวอยู่
มองว่าในเดือน พ.ย.นี้ดัชนีฯจะมีการปรับเพิ่มขึ้น แต่ในเดือน ธ.ค.จะปรับขึ้นมากน้อยแค่ไหนคงต้องดูว่ามีการขายทำกำไรในช่วงท้ายปี โดยมองดัชนีฯสิ้นปีนี้อยู่ที่ 750 จุด ส่วนในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า มองว่าดัชนีฯจะอยู่ที่ประมาณ 780 จุด เพราะเชื่อว่ายังมีแรงส่งจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติอยู่ นายสุกิจ กล่าว
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่ เช่นกลุ่มธนาคาร หรือพลังงาน เพราะจะเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้าลงทุน

- เชียนหุ้นชี้ SET INDEX บวกแรง หลังตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค.ไม่สูงอย่างคาด -บาทแข็งค่าหนุนเงินไหลเข้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดตลาดที่ระดับ 730.87 จุด เพิ่มขึ้น8.41 จุด มูลค่าการซื้อขาย 12,762.05 ลบ.
นักวิเคราะห์บล.ซีมิโก้ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วงปลายตลาด เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค.ของกระทรวงการพาณิชย์ซึ่งไม่สูงอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเรื่องแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่จะไม่พุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังสนับสนุนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะเข้าสู่ขาลงในปี 50 อีกด้วย ขณะที่ค่าเงินบาทวันนี้ยังคงแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 36.65 บาทต่อดอลลาร์ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุด แสดงให้เห็นว่มีเม็ดเงินไหลเข้าต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระมัดระวังการซื้อขาย เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป นักลงทุนต่างชาติอาจจะขายทำกำไรระยะสั้นได้ โดยนักลงทุนควรหาจังหวะขายเมื่อดัชนีตลาดหุ้นแตะระดับ 738 จุด

 กลับขึ้นบน
arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
#1 วันที่: 02/11/2006 @ 10:18:46 : re: มุมมองโบรคเกอร์.........^-_-^
แมงเม่าเฮ! เงินนอกทะลักถึงปีหน้า

ภาวะการซื้อขายหุ้นในปีนี้ดูเหมือนดัชนีจะไม่สามารถที่จะไต่ระดับไปไหนได้ไกล โดยย่ำอยู่ที่ 700 จุดต้นๆเท่านั้น เพราะมีเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยลบเข้ามากระทบอยู่ตลอดทั้งปี เริ่มตั้งแต่การซื้อขายหุ้น SHIN ของตระกูลชินวัตร ซึ่งเกี่ยวโยงโดยตรงกับอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย ที่นำมาซึ่งการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งถึงแม้ว่าขณะนี้เหตุการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น แต่ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ตอบสนองในทางที่นักลงทุนต้องการมากนัก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องตั้งเป็นข้อสังเกตก็คือ แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องหลังจากการปฏิรูปการปกครองฯ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าฝรั่งรอบนี้เป็นของจริงหรือของปลอม แรงซื้อที่เข้ามาแค่การพักเงินหรือลงทุนระยะยาว ล้วนเป็นสิ่งที่นักลงทุนสงสัยและต้องการคำตอบ
แต่หากพิจารณาจากเม็ดเงินต่างชาติที่เข้ามาในประเทศแถบเอเชียในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับแนวโน้มและการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ที่มีแนวโน้มจะปรับลดลงในปีหน้า คงทำให้นักลงทุนรายย่อยยิ้มออก เพราะนั่นหมายถึงทิศทางของเงินไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากค่าเงินบาทที่ตอนนี้แข็งค่าแตะระดับ 37.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และกูรูในวงการการเงินอย่างดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ยังคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปถึงปลายปี โดยมองว่าสิ้นปีนี้ค่าเงินมีโอกาสแตะ 37 บาทต่อดอลล์ได้ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมรับว่าค่าเงินที่แข็งขึ้นเป็นเพราะมีเงินไหลเข้าจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าในจำนวนนี้มีเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย
โดยในวันที่ 25 ต.ค. ค่าเงินบาทขึ้นไปแตะระดับแข็งค่าที่ 37.06 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 7 ปีนับตั้งแต่เดือน ม.ค.43
ข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศ เกี่ยวกับการเข้าซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ พบว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อสุทธิใน 6 ประเทศเอเชียรวมมูลค่า 1.12 พันล้านเหรียญ ภายหลังจากที่ Dow Jones ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่กำลังปรับลด และต้นทุนพลังงานที่ลดลง ยังผลให้ MSCI Ex Japan ปรับตัวขึ้นไป 0.5% โดย เกาหลี (+1.2%), ไทย (+1.8%) และฟิลิปปินส์ (+2.4%) มีการปรับตัวดีที่สุดในกลุ่ม C-6
อย่างไรก็ดีการปรับตัวขึ้นของไทยเกิดจากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่เกาหลี และฟิลิปปินส์เกิดจากการซื้อสุทธิสถาบันในประเทศ
การอ่อนตัวของดอลลาร์หลังขาดดุลการค้าอย่างเรื้อรัง ส่งผลให้ US Dollar Index อ่อนค่าลง 1% สวนทางกับดัชนีค่าเงินบาทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% อย่างไรก็ตามการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นอายุ 2 ปี และ 10 ปีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 13% และ 2.3% เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น และเกิดเงินทุนไหลจากตลาดเงินเข้าตลาดทุน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงชะลอการลงทุนในเกาหลีใต้หลังสถานการณ์ในเกาหลีเหนือยังคงตึงเครียด โดยมีการซื้อสุทธิในเดือนนี้ 509 ล้านเหรียญ และมีเงินทุนเคลื่อนย้ายจากเกาหลีสู่ไต้หวันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 371ล้านเหรียญ และมียอดซื้อสุทธิสูงที่สุดในเอเชียประจำเดือนตุลาคม 1.1 พันล้านเหรียญ
ในส่วนของประเทศไทยนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในไทย 171 ล้านเหรียญ ขณะที่ซื้อสุทธิในช่วง 15 วัน ที่ผ่านมา342 ล้านเหรียญ ซึ่งหากเปรียบเทียบเงินทุนไหลเข้มาในกลุ่ม TIP เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 371 ล้านเหรียญ เป็นการไหลเข้าอินโดนีเซียในสัดส่วนถึง 49%หลังเงินเฟ้อในประเทศลดลง เช่นเดียวกับไทย โดยรวมการลงทุนในฟิลลิปปินส์ค่อนข้างทรงตัว และดูแย่เมื่อเทียบกับไทย และอินโดนีเซีย ทั้งนี้ฟิลิปปินส์กำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจถดถอยภายในประเทศอินเดียครองอันดับหนึ่งการลงทุนด้วยมูลค่าสูงสุดใน 6 ประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 386 ล้านเหรียญ และซื้อสะสมตลอด เดือนนี้ 867 ล้านเหรียญ
นี่คือเม็ดเงินในปัจจุบันที่เห็นๆอยู่แล้วว่ามีการไหลเวียนอยู่ในประเทศแถบเอเชียค่อนข้างมาก ส่วนประเด็นที่ทำให้คนในวงการส่วนใหญ่คาด การณ์ถึงทิศทางของเงินไหลเข้าว่าน่าจะต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้านั้น หลักๆแล้วน่าจะมาจากทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐหรือเฟด ที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าน่าจะเริ่มปรับลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 โดยเหตุผลหลักมาจากฟองสบู่ที่อยู่อาศัยของสหรัฐที่เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2549 ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผล ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลง รวมทั้งการปรับโครงสร้างการใช้พลังงานของจีนที่ลดการใช้น้ำมันและหันไปใช้ถ่านหินมากขึ้น ตลอดจนท่าทีที่ประนีประนอมมากขึ้นระหว่างอิหร่านและกลุ่มชาติตะวันออกกดดันให้ราคาน้ำมันลดลง
จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่า เฟดจะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ย Fed Funds Rate ลงภายในครึ่งแรกของปี 2550 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดความรุนแรงของการแตกของฟองสบู่ที่อยู่อาศัย ฟองสบู่ที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกลไกหลักในการผลักดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว
นอกจากนี้ปัจจุบันมีสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯค่อนข้างชัดเจนซึ่งนอกจากการหดตัวของการลงทุนในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยแล้วดัชนีชี้นำอื่นๆ ก็แสดงถึงการชะลอตัวเช่นเดียวกัน เช่น การจ้างงานใหม่นอกภาคเกษตรกรรม จากที่มีค่าเฉลี่ยประมาณ 160,000 รายต่อเดือนในปีที่ผ่านมาลดลงเหลือร้อยละ 140,000 รายโดยเฉลี่ยระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคมในปีนี้ ขณะที่ดัชนี PMI ที่แสดงการซื้อสินค้าใหม่ก็ลดลงจาก ประมาณ 62 จุดในเดือนกุมภาพันธ์เหลือ 54 จุด ในเดือนสิงหาคม และที่สำคัญคือดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ของสหรัฐฯที่จัดทำโดยองค์กรความร่วมมือเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development: OECD) ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.59 จากที่ขยายตัวสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ถึงร้อยละ 4.7 ดัชนีโดยรวมชี้ให้เห็นถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชัดเจน
จากประเด็นที่รวบรวมมาทั้งหมด บรรดาแมงเม่าน่าจะสบายใจได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าโดยภาพรวมของดัชนีอาจจะไม่ได้พุ่งขึ้นอย่างหวือหวา อันเนื่องมาจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติที่อาจจะโยกเงินจากหุ้นใหญ่ๆมายังหุ้นที่มีขนาดเล็กลง แต่มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าพอใจ ซึ่งทำให้ดัชนีฯค่อยๆปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องกับนโยบายพอเพียงของรัฐบาล ส่วนหุ้นกลุ่มไหนน่าจะเป็นที่หมายปองของนักลงทุนต่างชาติ ที่จะเทเม็ดเงินเข้ามาอย่างเต็มๆ การเลือกซื้อหุ้นเพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผลตอบแทนงอกเงย ซึ่งทีมข่าวหุ้น-การเงินของ eFinancethai.com จะได้นำข้อมูลเชิงเจาะลึกรายกลุ่มมานำเสนอต่อไป....ติดตามภาค 2 ได้เร็วๆนี้
 กลับขึ้นบน
innocent
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 729
#2 วันที่: 02/11/2006 @ 10:45:49 : re: มุมมองโบรคเกอร์.........^-_-^
[b:269d9373d2"> .000009 ...เฮ !! จริง ๆ เหรอ [/color:269d9373d2">[/b:269d9373d2">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com