April 28, 2024   12:31:22 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตลาดหุ้นในกลุ่มอาเซียนจะพุ่งต่อ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 02/11/2006 @ 10:38:14
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

สิงคโปร์ นักลงทุนและนักวิเคราะห์คาด ตลาดหุ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะพุ่งต่อแม้ว่าหลายๆตลาดจะทำสถิติหรือดีดตัวสงสุดในรอบหลายปีไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้ โดยเป็นเพราะว่าราคาน้ำมันลดลง เศรษฐกิจมั่นคง และกระแสเงินสดแข็งแกร่ง

การดีดตัวของตลาดสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ได้รับแรงหนุนส่วนใหญ่จากหุ้นอสังหาริมทรัพย์และหุ้นธนาคารซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น หุ้นดีบีเอส กรุ๊ป และแคปิตาแลนด์ของสิงคโปร์ เนื่องจากนักลงทุนคิดว่าอัตราดอกเบี้ยได้พุ่งสูงสุดแล้วและอาจจะกำลังเริ่มลดลง

มาร์คัส รอสเกน นักวิเคราะห์หุ้นในเอเชียของซิตี้กรุ๊ปกล่าวว่า ในขณะนี้หลายๆตลาดหุ้นอาจจะมีราคาแพง โดยตลาดหุ้นเอเชียมีสัดส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี 2.1 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 1.7 เท่า แต่ก็ยังถูกกว่าตลาดสหรัฐ ซึ่งอยู่ที่ 2.6เท่า ขณะที่ตลาดยุโรปซื้อขายกันที่ 2.3 เท่า

ดัชนีตลาดสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ค่อนข้างแข็งแกร่งมากในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา โดยล้วนปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 70 จุด ซึ่งชี้ว่า มีแรงซื้อในตลาดมากเกินไป แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ไม่น่าจะเกิดแรงเทขายอย่างรุนแรงในตลาดหุ้นเอเชียซ้ำรอยเหมือนเมื่อเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนที่ผ่านมา เนื่องจากกองทุนต่างๆเพิ่งจะกลับเข้ามาในภูมิภาคอย่างช้าๆ

หุ้นเอเชียไม่ถูกแต่มันยังคงเป็นตลาดที่ดีที่สุดที่จะเข้ามาลงทุนใน 5 ปีนี้ และเอเชียยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีที่สุด ฮิว ยัง กรรมการผู้จัดการบริษัทอเบอดีน แอสเซ็ทแมเนจเมนต์ เอเชีย กล่าว

แม้แต่ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยง ก็มองว่าหุ้นเอเชียจะดีดตัวขึ้น ตัวอย่างเช่นเดวิด ลี หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของกองทุนบริหารความเสี่ยงที่ชื่อว่า เฟอร์เรลล์ แอสเซ็ทแมเนจเมนต์ได้เล่นหุ้นในเอเชียในกองทุนระยะสั้นมาตั้งแต่ปี 2546

ลีกล่าวว่า กองทุนที่ไหลเข้ามายังเอเชียอย่างต่อเนื่อง และความเป็นไปได้ที่สกุลเงินเอเชียจะมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์ อาจทำให้หลายๆตลาดปรับตัวขึ้น และทำให้นักลงทุนได้กำไรเต็มที่

สเปนเซอร์ ไวต์ นักวิเคราะห์ภูมิภาคเอเชียของเมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า แรงซื้อของต่างชาติในตลาดไทยและฟิลิปปินส์มีมากขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา จนมีมูลค่าถึง 168ล้านดอลลาร์ และ 303 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ

ไวต์แนะนำให้นักลงทุนเน้นการลงทุนให้มากในสิงคโปร์ ไทย และอินโดนีเซีย โดยชอบหุ้นธนาคารกรุงเทพ และพีที แบงก์ แมนดิริ ของอินโดนีเซีย โดยอ้างว่าอัตราดอกเบี้ยได้พุ่งสูงสุดแล้วและแนวโน้มการลงทุนของภูมิภาคดีขึ้น

รอสเก็นกล่าวว่า ตลาดหุ้นเอเชียที่จะแสดงให้เห็นว่าการตีมูลค่าในขณะนี้มีความถูกต้อง จำเป็นต้องมีการเติบโตของรายได้ 15% ในปีหน้า จากที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 11% และเทียบกับ 7% ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม รอสเก็น กล่าวว่า ปัญหาสำคัญในขณะนี้คือ ราคาคอมโมดิตี้กำลังจะลดลงต่อไปหรือไม่

เอเชียเป็นศูนย์กลางการผลิตและเป็นผู้บริโภคสินค้าพื้นฐานรายใหญ่ ในขณะที่ตลาดเกิดใหม่อื่นๆมักเป็นผู้ผลิตสินค้าพื้นฐาน และในขณะที่บริษัทเอเชียไม่สามารถโยนภาระต้นทุนพลังงานได้ จึงกระทบต่อรายได้บริษัท และหากไม่รวมญี่ปุ่น เอเชียมีการเติบโตของรายได้น้อยกว่าตลาดเกิดใหม่อื่นๆประมาณหนึ่งในห้ามาตั้งแต่ปี 2545

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ได้ปรับตัวขึ้นเกือบสามเท่ามาตั้งแต่ปี 2545 ได้ปรับตัวลงประมาณหนึ่งในสี่นับแต่ได้พุ่งสูงสุดถึง 78.40 ดอลลาร์เมื่อเดือนกรกฎาคม

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในภูมิภาคไม่ได้ขึ้นอยู่กับทิศทางของราคาพลังงานอย่างเดียว แม้แต่ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐเย็นลง นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นว่าการเติบโตของเอเชียเริ่มที่จะเป็นอิสระจากตลาดสหรัฐมากขึ้น

นักลงทุนจำนวนมากเชื่อว่า ดีมานด์อันแข็งแกร่งภายในประเทศ และเศรษฐกิจจีนที่กำลังคำราม จะช่วยรองรับการชะลอตัวของสหรัฐได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตัวเลขการส่งออกจากอินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซีย ล้วนแต่เกินความคาดหมายทั้งสิ้น

เคียม โด หัวหน้ากลุ่มมัลติ แอสเซ็ท ของแบริง แอสเซ็ท แมเนจเมนต์ กล่าวว่าเศรษฐกิจจีนยังคงดี ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจอื่นๆในเอเชียจะโตในอัตราที่สมเหตุสมผล

ทิม ร็อคส์ นักวิเคราะห์บริษัท แมคควอรี รีเสิร์ช กล่าวว่า ฐานะการเงินของบริษัทเอเชียที่ไม่ใช่บริษัทญี่ปุ่นก็ดีขึ้นเช่นกัน หลายๆบริษัทได้ลดอัตราการลงทุนลงประมาณหนึ่งในสามเปอร์เซนต์ของจีดีพีมาตั้งแต่ปี 2540เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการลงทุนมากเกินไปเหมือนที่เคยทำให้เกิดวิกฤติการเงินเอเชีย ซึ่งจะปกป้องอำนาจในการกำหนดราคาและความสามารถในการทำกำไรได้

การใช้จ่ายที่ลดลงนี้ได้ทำให้หลายๆบริษัทลดระดับหนี้ลงได้ประมาณสามในสี่นับแต่ปี 2540 ในขณะเดียวกันทำให้ผลตอบแทนต่อหุ้นอยู่ที่ประมาณ 14% ใกล้สถิติสูงสุด

ในขณะเดียวกัน ระดับกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับเปอร์เซนต์ยอดขายได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6% ในปี 2545 จากที่ใกล้ศูนย์เปอร์เซนต์ก่อนปี 2540

ผมคาดว่า ระดับกระแสเงินสดจะหนุนให้ตลาดหุ้นหลายแห่งปรับตัวขึ้น ร็อคส์ กล่าว


.000002

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com