Puu
สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476 |  วันที่: 15/11/2006 @ 11:01:51 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อ BLCPราคาเป้าหมาย 180 บาทผลประกอบการไตรมาส 3/2549 ออกมาเป็นไปตามคาดขณะที่ Upside ไตรมาส 4/2549อยู่ที่ธุรกิจหลักที่ยังแข็งแกร่ง + การรับรู้รายได้เพิ่มจาก BLCP กำไรสุทธิไตรมาส 3/49อยู่ที่ 884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% qoq แต่ลดลง 47% yoy ส่วนหนึ่งมาจาก...1. ปริมาณขายถ่านหินรวมอยู่ที่ 5.31 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 8% qoq และเพิ่มขึ้น 4% yoy 2. ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 36.6 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 9% qoq แต่ลดลง 3% yoy 3. อัตราส่วนกำไรขั้นต้นลดลงส่วนหนึ่งมาจากการเริ่มรับรู้รายได้ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า โดยกำไรขั้นต้นของธุรกิจถ่านหินอยู่ที่ 40% ขณะที่กำไรขั้นต้นของธุรกิจไฟฟ้าอยู่ที่ เรายังคงประมาณการผลประกอบการปี 2549 ไว้เท่าเดิม ขณะที่ผลประกอบการ 9 เดือนแรกออกมาคิดเป็น 70%ของที่เราประมาณ อย่างไรก็ตามแม้ว่าผลประกอบการ 9 เดือนแรกดูเหมือนจะต่ำกว่าที่เราประมาณการ แต่เรามองว่า ในไตรมาส4/2549 บริษัทจะมีรายได้จากการเปิดดำเนินงานของ BLCP ก่อนกำหนด เข้าเป็นรายได้ส่วนเพิ่ม ขณะที่เราคาดว่าปริมาณขายถ่านหิน รวมทั้งแนวโน้มราคาขายเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เราคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/2549 จะอยู่ที่ 950 1,100 ล้านบาท นอกจากนี้ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งด้วยโครงสร้างหนี้สินต่อทุนที่ต่ำในระดับ 0.62 เท่า และโครงสร้างหนี้เป็นหนี้สินที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยคงที่กว่า 78%ทำให้เรามองว่าการขยายธุรกิจในอนาคตจะไม่กระทบฐานทางการเงินของบริษัท
บล.ยูไนเต็ดแนะนำขาย ASPราคาเป้าหมาย 3.55 บาทถึงแม้ส่วนแบ่งการตลาดจะเพิ่มขึ้นจาก 6.16% ใน 2Q49 เป็น 6.21% ในไตรมาสนี้ แต่จากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลงจาก 15,230 ล้านบาทใน 2Q49 เหลือ 13,037 ล้านบาท ส่งผลให้มีรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงเล็กน้อย ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 1% QoQ ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง 19% QoQ หากเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน จะเห็นว่ามีกำไรสุทธิลดลงถึง 49% YoY เป็นผลมาจากทั้งส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงจาก6.63% เหลือเพียง 6.21% และมูลค่าการซื้อขายตลาดเฉลี่ยต่อวันที่ลดลงจาก 16,223ล้านบาทเหลือเพียง 13,037 ล้านบาท มีผลทำให้รายได้ลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง สำหรับงวด 9M49 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 269 ล้านบาท ลดลงจาก 431 ล้านบาทหรือลดลงถึง 60% YoY เหตุผลหลักมาจากรายได้ค่านายหน้าที่ลดลงจากมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง และส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 7.2% เหลือ 6.21%จากผลประกอบการ 3Q49 ที่ออกมาไม่ดีนักตามมูลค่าการซื้อขายตลาดที่ลดลง ทางด้านส่วนแบ่งตลาดเริ่มกลับมาดีขึ้นเล็กน้อยจาก 6.16% ใน 2Q49 เป็น 6.21% โดยเฉพาะใน 4Q49(1 ต.ค.-13 พ.ย.) ส่วนแบ่งตลาดปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.48% เริ่มดีขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ดีจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ไม่มากนักในปีนี้ ทำให้เราปรับสมมติฐานมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเหลือเพียง 16,500 ล้านบาท และส่วนแบ่งตลาดทั้งปีของ ASP ที่ 6.15%(ล่าสุดจนถึงวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมาส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 6.2%) คาดจะมีกำไรสุทธิทั้งปี 49ที่ 358 ล้านบาท หรือลดลง 40% YoY สำหรับข่าวดีเกี่ยวกับการคงค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำไปอีก3 ปี จนถึง ม.ค.53 นั้น ราคาได้ปรับขึ้นสะท้อนข่าวดีดังกล่าวแล้ว
บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ KTCราคาเป้าหมาย 30.00 บาทKTC รายงานผลประกอบการกำไรสุทธิไตรมาส 3/49 ออกมาเท่ากับ 132 ล้านบาท ลดลง20.3% yoy ส่วนใหญ่เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากดอกเบี้ยจ่าย, ค่าใช้จ่ายในการบริหาร และค่าใช้จ่ายในการเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาส2/49 ที่ผ่านมา กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 64.4%qoq เนื่องจากค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลงและรายได้ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น อัตรากำไรสุทธิ (net profit margin) เพิ่มขึ้นเป็น 6.3% เมื่อเทียบกับในไตรมาส 2/49 ที่ 4.1% รายได้รวมเติบโตได้ดี 31.6%yoyและ 9.0%qoq โดยเป็นการเติบโตทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มขึ้น 50.1% yoyและ 5.7% qoq รวมถึงรายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น 113.5% yoy และ 17.5%qoq ซึ่งเป็นไปตามปริมาณธุรกรรมและฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายการให้สินเชื่อที่เติบโตทั้ง 3 ธุรกิจหลักคือ ธุรกิจบัตรเครดิต, KTC cash และ KTC million ในส่วนของค่าใช้จ่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า โดยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นถึง 113.5% yoyและ17.5%qoq รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น 33.2%yoy และ3.4%qoq อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ (cost to income ratio) ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเป็น 55% จาก 57% ในไตรมาส2/49 ในปี 2550 KTC ตั้งเป้าเพิ่มบัตรเครดิตอีก 2-3แสนบัตร เพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากฐานบัตรในปี 49 ที่ประมาณ 1.4-1.5 ล้านบัตร โดยKTC จะมุ่งเน้นเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล และรถยนต์ ที่มีแนวโน้มเติบโต โดยนโยบายการทำธุรกิจของ KTC ยังเน้นการเติบโตต่อเนื่องเน้นสร้างแบรนด์ผ่านสื่อและกิจกรรมทางการตลาด รวมถึงการขยายฐานสมาชิกบัตรไปยังตลาดภูมิภาคให้มากขึ้น
บล.สินเอเซียแนะนำซื้อ TUFราคาเป้าหมาย 27.70 บาทTUF ประกาศกำไรสุทธิ 3Q49 จำนวน 678 ลบ. เป็นกำไรปกติ 629 ลบ. ลดลง 5%YoYเนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่กำไรปกติเพิ่มขึ้น 78%QoQเนื่องจากรายได้และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น ส่วนผลการดำเนินงาน 4Q49 คาดว่าอาจจะอ่อนตัวลง QoQ จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและช่วงไตรมาส 3 เป็น High season จากอัตรากำไรขั้นต้น 9M49 ที่ทำได้ดีกว่าที่คาด ACLS จึงปรับประมาณการกำไรปกติปี 49-50 ขึ้น 7%และ 5% ตามลำดับประเมินราคาพื้นฐานปี 50 โดยวิธี P/E Multiple ที่ระดับ P/E ที่12 เท่า ได้ราคาพื้นฐานที่เหมาะสมที่ 27.70 บาท แนะนำ ซื้อ?กำไรปกติ 3Q49 ลดลง5%YoY แต่เพิ่มขึ้น 78%QoQ : TUF ประกาศกำไรสุทธิ 3Q49 จำนวน 678 ลบ. แต่หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 43 ลบ. กำไรปกติจะอยู่ที่ 629 ลบ.ลดลง 5%YoY แต่เพิ่มขึ้น 78%QoQ oกำไรปกติลดลง YoY เนื่องจาก 1) อัตรากำไรขั้นต้นลดลงYoY จาก 16.6% ใน 3Q48 เป็น 16.4%ในไตรมาสนี้เนื่องจากผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจาก 41.3 บาท/USD ใน 3Q48 เป็น 37.7 บาท/USD ในไตรมาสนี้ และคาดว่าเป็นผลจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นทางอ้อมจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เช่น ต้นทุนบรรจุภัณฑ์และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน 2)ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น 88%YoY จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น oกำไรปกติเพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจาก 1) รายได้ที่เพิ่มขึ้น 11%QoQ เนื่องจากเป็นฤดูกาลในการส่งออก การปรับเพิ่มราคาสินค้าปลาทูน่ากระป๋องตั้งแต่ช่วงปลาย 2Q49 และเติบโตของยอดขายอาหารสัตว์ 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจาก 14.5% ใน 2Q49 เป็น 16.4% ในไตรมาสนี้ เนื่องจากการเติบโตของยอดขายสินค้าประเภท Value AddedProducts และ อาหารสัตว์ ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง รวมถึงค่าเงินบาทที่ไม่ผันผวนมากเท่ากับ 2Q49 จึงทำให้การควบคุมต้นทุนการผลิตทำได้ดีขึ้น
[/color:2ec00e6fa0">
|
