May 2, 2024   8:13:50 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตามด้วย สัญญาณหุ้นค่ะ......
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 16/11/2006 @ 09:31:45
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.กิมเอ็งแนะนำถือ KTBราคาเป้าหมาย 14.30 บาทจากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ เราเชื่อว่าผลประกอบการของ KTB มีแนวโน้มปรับตัวลดลงทั้งในไตรมาส 4/49 และในปี 2550 จากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นสูง โดยผู้บริหารแจ้งว่า ในไตรมาส 4/49 KTB จะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรอยู่ในระดับสูงและธนาคารมีนโยบายที่จะรักษาอัตราส่วนผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นให้อยู่เพียงที่ระดับ 16% ขณะที่ในปี 2550 เชื่อว่า KTB จะต้องมีภาระสำรองเพิ่มขึ้นมากเช่นกันจากมาตรฐานการบัญชี IAS 39 ที่มีผลบังคับใช้สำหรับ NPLs ที่มีอายุ 3 และ 6 เดือนโดย KTB เชื่อว่าอัตราส่วน ROE จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 16% เล็กน้อย ปัจจุบันอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อ NPLs ของ KTB อยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำเพียง 39% ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ด้วยกัน KTB มีแผนที่จะออก Hybrid bond Tier 1 อีกประมาณ 200 ล้านดอลล่าร์ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ธนาคารแจ้งว่า จะส่งผลให้อัตราเงินกองทุนขั้นที่ 1 เพิ่มขึ้นเป็น 10.5% และอัตราเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นที่ระดับ 14.1% ใกล้เคียงกับธนาคารขนาดใหญ่อื่นๆ (BBL 14.6%, SCB 15.2% และ KBANK 16.09%) เรามีมุมมองที่เป็นบวกเนื่องจากจะทำให้ฐานะทางการเงินของธนาคารแข็งแกร่งขึ้นรวมถึงความสามารถในการให้สินเชื่อได้มากขึ้นในอนาคต

บล.นครหลวงไทยแนะนำซื้อ JASราคาเป้าหมาย 0.72 บาท
ผลการดำเนินงานยังกำไรแม้สัมปทานหมดอายุ แต่ขาดทุนเพราะเงินลงทุนใน TT&T : JASประกาศขาดทุนสุทธิ 99 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากรับรู้ผลขาดทุนจาก TT&T ถึง 157ล้านบาท และบริษัทร่วมอื่นๆ อีก 31 ล้านบาท แต่หากตัดรายการดังกล่าวออก ผลการดำเนินงานของ JAS ยังกำไรราว 88 ล้านบาท ลดลงจาก 20% yoy เนื่องจากรายได้ 2สัมปทานคือ ISDN และโทรศัพท์สาธารณะราว 400 ล้านบาท/ไตรมาสหมดอายุลงกลาง Q3/49 กอปรกับใน Q3/49 JAS มีภาระภาษีจ่ายเพิ่มเป็น 61 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทย่อยมีการกลับรายการค่าใช้จ่ายที่ไม่ถือเป็นรายจ่ายมาคำนวณภาษี แต่เป็นการปรับรายการเพียงครั้งเดียว คาด Q4/49 น่าจะกลับมากำไรสุทธิอีกครั้ง เพราะค่าเงินบาทที่แข็งขณะนี้จะทำให้ TT&T กลับมามีกำไรได้ : SCIBS ประเมินรายได้ใน Q4/49 น่าจะดีขึ้นจาก Q3/49เล็กน้อย ตามการเติบโตของบริษัทลูก JTS กอปรกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้ คาดว่าจะทำให้ TT&T แสดงงบกำไรสุทธิได้ในไตรมาสสุดท้าย และ JAS จะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกส่วนหนึ่งด้วย เอื้อให้ JAS ใน Q4/49 มีกำไรสุทธิ 158 ล้านบาท SCIBSประเมินมูลค่า JAS ด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow : DCF) โดยWACC ที่ 11.40% และ Terminal Growth Rate ที่ 1.75% ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี2550 ของ JAS อยู่ที่ 0.72 บาท เทียบกับราคา ณ ปัจจุบัน ยังถือว่ามี Upside Gainอยู่ถึง 44.6% และคาดว่า JTS จะประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 2549 ที่ 0.01 บาท และด้วยภาพรวมที่คาดว่าจะต่ำสุดในปี 2550 และหากมาตรฐานบัญชีใหม่ที่จะเริ่มใช้ต้นปี 2550จะทำให้ JAS ไม่จำเป็นต้องรับรู้กำไร - ขาดทุนจากบริษัทร่วมอย่าง TT&T ซึ่งจะช่วย JASมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 171 ล้านบาท จากที่ SCIBS ประเมินไว้ 290 ล้านบาท

บล.ธนชาตแนะนำขาย TTAราคาเป้าหมาย 20.5 บาทTTA รายงานกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติใน 4QFY06 ที่ 701 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 22% q-q แต่ลดลง 33% y-y และเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่ตลาดฯ และเราคาด กำไรทั้งปี (ต.ค.2005 ก.ย.2006) อยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท เทียบกับตัวเลขประมาณการของเราที่ 3.2 พันล้านบาท รายได้จากการเดินเรือใน 4QFY06 อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น19% q-q และ2% y-y จากผลของอัตราค่าระวางเรือที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยUSD12,067/วัน เพิ่มขึ้น 15% q-q แต่ทรงตัวจาก 4QFY05 ส่วนรายได้โดยรวมก็เพิ่มขึ้น 16% q-q และ 31% y-yเนื่องจากสัดส่วนรายได้จาก Mermaid Maritimeที่เพิ่มขึ้น และเริ่มบันทึกในงบการเงินรวมตั้งแต่ 2QFY06 Gross margin ลดลงเป็น 25.8% ใน 4QFY06 จาก 26.9% ใน 3QFY06 และ38.3% ใน 4QFY05 ทั้งนี้เนื่องจากการตัดจำหน่ายค่านำเรือเข้าซ่อมบำรุงในอู่แห้ง(dry-docking expenses) ที่เร็วขึ้น, จำนวนวันเดินเรือทะเลที่ลดลง,ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น, เงินบาทที่แข็งตัว รวมทั้งจากการที่บริษัทประกันภัยเรียกเก็บค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้น การเก็งกำไรจากข่าวการปรับขึ้นของ Baltic Dry Index ในช่วงhighseason ทำให้ราคาหุ้น TTA ปรับขึ้นมากกว่า 51% ใน 4 เดือนที่ผ่านมา และเราเชื่อว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะลดการลงทุนใน TTA

บล.โกลเบล็กแนะนำขาย APราคาเป้าหมาย 4.82 บาทQ3/49 มีกำไรสุทธิ 636 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 207%yoy และ 171%qoq แต่กำไรปกติเพียง 76ล้านบาท ลดลง 63%yoy และ 68 %qoq บริษัทมียอดขายในช่วงไตรมาส 3/49 เพียง 1,012 ล้านบาท ลดลง 26%yoy และ 42%qoq เนื่องจากยอดขายที่ชะลอตัวในไตรมาส 2/49 ทั้งนี้รายได้หลักมาจากการโอนโครงการแกรนด์เวียนนา-พระราม 3 รองลงมาคือซานฟรานซิสโก-บางนา มอนติคาโล-รัชวิภา และลูเซิน-อ่อนนุช 46 ด้านกำไรสุทธิ 636ล้านบาทซึ่งเพิ่มขึ้น 207%yoy และ 171%qoq นั้นรวมรายการพิเศษที่เป็นกำไรจากการขายเงินลงทุนในกองทุนรวมซิตี้แอสเสทซึ่งเป็นเจ้าของอาคารอาร์เอสทองหล่อหลังหักค่าใช้จ่ายจำนวน 560 ล้านบาท สำหรับกำไรปกติเหลือเพียง 76 ล้านบาท ลดลง 63% yoy และ 68% qoq เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นลดเหลือ 30.5% เทียบกับ 30.9% ในไตรมาสที่แล้วและ31.9% ในไตรมาส 3/48 และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง9 เดือนแรกของปี 49 มียอดขาย 4,294 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,104 ล้านบาทคิดเป็น72% และ 782 % ของประมาณการณ์ทั้งปีซึ่งเรายังคงประมาณการ การขายเงินลงทุนในกองทุนรวมซิตี้แอสเสทเป็นผลประโยชน์อย่างมาก กล่าวคือ ช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการให้ประสบความสำเร็จ เนื่องจากอาคารอาร์เอสทองหล่อที่เป็นสินทรัพย์ของกองทุนฯ ยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง นอกจากนี้กระแสเงินสดที่เข้ามาช่วยลดหนี้และทำให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น เห็นได้จากสิ้นไตรมาส 3/49 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(Netdebt to equity ratio) ลดจาก 1.17 เท่าในไตรมาสที่แล้วเหลือเพียง 0.75 เท่าขณะที่อัตราส่วนดังกล่าวจัดว่าอยู่ในระดับสูงมาตลอดโดยอยู่ในระดับ 1 - 1.2 เท่าตั้งแต่ปี48 คงประมาณการณ์ตามเดิม โดยเราคาดยอดขายประมาณ 5,966 ล้านบาทขยายตัว 13%yoy และกำไรปกติราว 781 ล้านบาทขยายตัว 16%yoy ขณะที่ปี50 เราคาดยอดขายและกำไรโต 11% และ 7%โดยคาด 6,633 ล้านบาท และ 838 ล้านบาทตามลำดับ






[/color:ec892cc8eb">[/size:ec892cc8eb">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com