May 2, 2024   8:40:51 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นค่ะ......
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 17/11/2006 @ 10:27:42
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เคจีไอแนะนำกลุ่มอสังหาริมทรัพย์น้ำหนักมากกว่าตลาดกลุ่มอสังหาฯในไตรมาส 3/49 โดยรวมรายงานผลประกอบการลดลงทั้ง YoY และ QoQโดยเหตุผลหลักๆเนื่องมาจากยอดขายที่ชะลอตัวลง แรงกดดันจากต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่ใช้ในการโปรโมทโครงการเพิ่มสูงขึ้น เมื่อพิจารณาการเติบโตของกำไรสุทธิ จะพบว่า AP เป็นบริษัทเดียวที่ทำกำไรได้ดีในไตรมาส 3/49 เพราะได้รับกำไรจากยอดขายสินทรัพย์ที่มาก แต่ถ้าพิจารณากำไรจากการดำเนินงานตามปกติ LPN เป็นบริษัทเดียวที่มีการเติบโตติดลบน้อยสุดที่ 19% YoY เมื่อเปรียบเทียบกับการเติบโตกำไรสุทธิโดยเฉลี่ยที่ -49% YoY ในไตรมาส 3/49 โดยสรุปแล้วยอดขายที่ชะลอตัวลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมา การรับรู้รายได้ที่ช้า ต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น และอัตราภาษีที่สูง ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกมาค่อนข้างแย่ในไตรมาส3/49 นี้ มีเพียง QH, SIRI และ LPN ที่มีการเติบโตของยอดขายเป็นบวก โดย QH มียอดขายโตถึง 13% YoY เนื่องจากรายรับจากการให้เช่าอาคารสำนักงานและอพาร์ทเมนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับ SIRI ซึ่งมียอดขายโตเป็นอันดับสองนั้น เกิดจากการรับรู้รายได้ที่สูงมากของยอดขายในครึ่งปีแรกของปี 49 โดยปัจจัยนี้ทำให้ SIRI มีรายรับที่ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับรายอื่นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ในทางกลับกัน LH และ LALIN มีการเติบโตของยอดขายที่ติดลบ -45% และ -43% ตามลำดับ ทั้งนี้เป็นเพราะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงความต้องการชะลอตัว และกำลังซื้อที่ไม่สูง อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่แพงและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในไตรมาส 3/49 นี้ อัตรากำไรขั้นต้นโดยเฉลี่ยของ 8 บริษัทในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์นี้ลดลง 2.5% YoY และ 0.5% QoQ เนื่องจากต้นทุนก่อสร้างและวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้การปรับเพิ่มราคายังไม่สามารถทำได้มากนัก เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้นจากทั้งคู่แข่งรายเก่าและใหม่ แม้บริษัทที่มียอดขายโตเป็นบวก เช่น SIRI และ QH ก็ยังคงต้องเผชิญกับอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงที่ 28.6% และ 24.6% ตามลำดับ ขณะที่ LALINซึ่งเป็นบริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเป็นอันดับสองของกลุ่มที่ 41.7% ก็ยังมียอดขายที่ไม่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในกลุ่ม โดยเฉพาะในตลาดบ้านเดี่ยว

บล.บัวหลวงแนะนำถือ TASCOราคาเป้าหมาย N/ATASCO ประกาศผลการดำเนินงานอยู่ที่ 99 ล้านบาท ซึ่งดีกว่าคาดการณ์ของเรา โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 61% และจากไตรมาสที่แล้ว 81% สำหรับการดำเนินงาน 9 เดือนที่ผ่านมาผลประกอบการอยู่ที่ 208 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13% ผลประกอบการที่ดีเกิดจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายโดยอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24% และจากไตรมาสที่แล้ว 26% ซีงการเพิ่มขึ้นของยอดขายส่วนสำคัญเกิดจากยอดปริมาณการส่งออกไปยังประเทศจีนที่ชะลอไว้ตั้งแต่ไตรมาส 2/49 ราคาน้ำมันที่มีการปรับลดลงในช่วงไตรมาส 3/49 มีผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของ TASCO ปรับตัวดีขึ้น อยู่ที่ 11.7%เทียบกับในไตรมาสที่แล้วที่ 10.4% และ ในช่วงเดียวกันของปี่ก่อนที่ 11.3% ฐานะทางการเงินของ TASCO ปรับตัวดีขึ้นโดยอัตราหนี้สินต่อทุนในไตรมาส 3 ปรับลดลงอยู่ที่ 126% จาก 180% ในปีก่อนและ 147% จากไตรมาสที่แล้ว ผลกำไรจะทรงตัว? เราไม่แน่ใจว่าTASCO จะยังคงกำไรสุทธิต่อไตรมาสได้ในระดับ 100 ล้านซึ่งหากดูจากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมาปัจจัยภายนอกหลายประการล้วนมีผลต่อผลประกอบการของบริษัท เช่น นโยบายของภาครัฐ, งบประมาณประจำปี, ราคาน้ำมัน ฯลฯ จากภาพที่แสดงผลประกอบการของ TASCO ใน 6ไตรมาสที่ผ่านมามีการปรับขึ้นลงตลอดเวลา ในมุมมองระยะสั้น TASCO จะได้ประโยชน์จากการบำรุงรักษาถนนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ในทางกลับกันปริมาณการส่งออกอาจจะชะลอตัวลงเมื่อประเทศจีนเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะในทางเหนือ

บล.เอเชียพลัสแนะนำซื้อ BANPUราคาเป้าหมาย 177.94 บาทฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรงวด 4Q49 จะเติบโตสูงถึง 20%qoq เนื่องมาจากในงวดนี้จะมีการรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้า BLCP (BANPU ถือหุ้นสัดส่วน 50%) ซึ่งเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์สำหรับเฟส 1 (700 MW) ไปเมื่อเดือน ต.ค. 2549 ขณะที่คาดว่าธุรกิจถ่านหินน่าจะทรงตัวได้ใกล้คียงกับงวด 3Q49 เพราะคาดว่าราคาขายถ่านหินเฉลี่ยอาจจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยแต่ก็จะได้ในเรื่องของปริมาณขายที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 3-3.5 แสนตัน มาช่วยชดเชย สำหรับในส่วนของประมาณการกำไรในปี 2550 ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเติบโตสูงถึง 43%yoy ซึ่งถือว่าเติบโตสูงสุดในกลุ่มพลังงาน เพราะมีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า BLCPทั้ง 2 เฟส เต็มทั้งปี (เฟส 2 จะเริ่มผลิตเชิงพาณิช์ในเดือน ก.พ.2550) ขณะที่คาดการณ์ว่าธุรกิจถ่านหินจะทรงตัวอยู่ได้ใกล้เคียงกับปีนี้เพราะจะมีการขายถ่านหินที่มีคุณภาพโดยเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาทำให้สามารถดึงราคาขายเฉลี่ยให้ทรงตัวอยู่ได้ ประกอบกับได้ทำสัญญากำหนดราคาและปริมาณซื้อขายถ่านหินล่วงหน้าไปแล้วเกือบ 60% ของยอดขายในปี 2550 การกระจายฐานธุรกิจไปในธุรกิจโรงไฟฟ้าในปัจจุบันของ BANPU ถือว่าเป็นการเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม โดยเป็นการรักษาฐานกำไรโดยรวมของบริษัทไม่ให้ปรับตัวลดลงไปตามภาวะอุตสาหกรรมถ่านหินที่มีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาลงจาก Supply ในตลาดที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งธุรกิจถ่านหินและธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งถือว่าเป็น Upside ที่สำคัญในอนาคต แต่ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันราคาตลาดมี Upside จากFair Value ณ สิ้นปี 2550 ที่หุ้นละ 178 บาท เพียง 8%

บล.ซิกโก้แนะนำซื้อ VNGราคาเป้าหมาย 6.30 บาทบริษัทประกาศผลการดำเนินงานใน 3Q06A มี กำไรสุทธิ 196 ลบ. ลดลง 22.5% YoYและ 7.1%QoQ เป็นไปตามคาด จากการหยุดโรงงานที่ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นเวลา 3สัปดาห์ รวมถึงอุปสงค์ในประเทศเกาหลีที่ ชะลอตัวลง ซึ่งสัดส่วนการส่งออกแผ่นปาร์ติเกิ้ลไปประเทศเกาหลี คิดเป็น 35% ของยอดส่งออกทั้งหมด ทำให้ปริมาณขายแผ่นปาร์ติเกิ้ลลดลงจากไตรมาสก่อนรวมถึงราคาแผ่นปาร์ติเกิ้ลที่ปรับลดลง 5.6% QoQขณะที่ปริมาณขายและราคาแผ่นเอ็มดี เอฟยังคงทรงตัวในระดับสู ง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงเล็กน้อยจาก 32.4% ใน 2Q06A มาอยู่ ที่31.6% ใน 3Q06A SSEC ยังคงประมาณการกํไรสุทธิ ใน FY06E ที่ 721 ลบ.เนื่องจากเราคาดว่าอุปสงค์ของแผ่นปาร์ติเกิ้ลในประเทศที่ชะลอตัวลงจะกลับมาสู่ระดับปกติหลังจากหมดเหตุการณ์น้ำท่วม รวมถึงอุปสงค์จากต่างประเทศจะดี ขึ้นเพื่อให้ทันกับยอดสั่งซื้อช่วงปีใหม่ โดยเราคาดการณ์ การจ่ายเงินปันผลที่ 0.22 บาท/หุ้น (นโยบายในการจ่ายเงินปันผลที่ 40.0%ของกำไรสุทธิ) หรือคิดเป็นDividend yield ในระดับ 4.3% อุปสงค์ของแผ่นเอ็มดี เอฟจากประเทศจีน เกาหลีไต้หวันที่ ยังคงอยู่ในระดับสูงขณะที่ ผู้ผลิตแผ่นเอ็มดี เอฟรายอื่น ๆ ยังไม่มีการขยายกำลังการผลิตในช่วงนี้ จะส่งผลให้ราคาแผ่นเอ็มดี เอฟทรงตัวในระดับสูงต่อไป โดยปัจจุบันอยู่ที่ 225 USD/ลบ.ม. และการขยายกำลังการผลิตแผ่นเอ็มดีเอฟของบริษัทที่จะเริ่มผลิตได้ในช่วงต้น FY07E ถือเป็น โอกาสดีของบริษัทที่จะขยายฐานลูกค่าใหม่ได้เพิ่มขึ้น โดยเราคาดว่าบริษัทจะมีผลประกอบการใน FY07E ที่เติบโตสูงถึง 43.2% YoYเนื่องจากแผ่นเอ็มดีเอฟมีความผันผวนด้านราคาน้อยกว่าแผ่นปาร์ติเกิ้ลและมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า นอกจากนี้ เรายังคาดการณ์ การจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการ FY07E ที่ 0.32 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น Dividend yield ในระดับ 6.1%






[/color:fc46cdb2ec">

 กลับขึ้นบน
innocent
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 729
#1 วันที่: 17/11/2006 @ 11:28:21 : re: สัญญาณหุ้นค่ะ......
[b:38cfc9f2ef">ดูสัญญาณหุ้นของเราแล้ว ทรง ๆ คงที่ ยังไงมะรุ.. .000011

ถ้าราคายังไม่ไป ก็ขอให้อย่าถอยหลังเลย..

ขอบคุณนะจ๊ะหนู PUU... .000005 [/color:38cfc9f2ef">[/b:38cfc9f2ef">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com