May 2, 2024   1:51:27 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กลต.ทำงานแค่แผ่นเสียงตกร่อง คิกคิก ใครจะกลัว 555555
 

arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
วันที่: 17/11/2006 @ 11:52:15
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

นลท.ตะลุมบอนหุ้นร้อนไม่เลิก ห้ามเน็ต-มาร์จิ้นของตลท. แค่แผ่นเสียงตกร่อง

* NNCL-W1- NEP-W1นำทีม ราคาพุ่ง 202.17% - 104.10%
หุ้นเก็งกำไรยังร้อนแรงคู่ตลาดหุ้นไทย นลท.ยังแห่ตะลุมบอนไม่เลิกรา ถือโอกาสภาวะ
โดยรวมตลาดฯไม่มีปัจจัยใหม่ๆกระตุ้น สำรวจหุ้นร้อย 13 วันทำการ NEP-W1 ร้อนแรงสุดๆ
ราคาพุ่ง 104.10% ขณะที่ NNCL-W1 10 วันทำการหุ้นขึ้นกว่า 202.17% ขณะที่ RK มาแรง
เช่นกันขึ้นแล้ว 32% METRO พุ่ง 29.24% ด้านตลาดฯ ชิงแถลงดับความร้อนแรงยันไม่ยกเลิก
มาตรการห้ามเน็ต-มาร์จิ้น แน่ เพราะยังมีความจำเป็น ขณะที่วงการชี้ หุ้นเล็กขึ้นแรงเพราะนลท.
เก็งกำไรอาศัยช่วงตลาดฯพักฐาน แต่เตือนหากสนเล่นต้องระวังเพราะหุ้นขึ้นแรง-ลงแรง
ร้อนแรงเหลือเกินตอนนี้ คงไม่มีใครเกินบรรดาหุ้นร้อน หรือหุ้นเก็งกำไรทั้งหลาย ซึ่งใน
ช่วงตั้งแต่เริ่มต้นสัปดาห์นี้เป็นต้นมา ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอด และหุ้นบางตัวก็ปรับขึ้นมาตั้งแต่
สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ ยิ่งในช่วงนี้ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้า
มามากนัก ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอก หรือภายในประเทศ ที่ยังทรงตัวๆ หากข่าวใหม่อะไรไม่ได้
อย่างปัจจัยต่างประเทศก็เป็นการคาดการณ์เดิมๆ เรื่องการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ ที่ว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างแน่นอนหลังจากความกดดันเรื่องตัวเลข
เงินเฟ้อในสหรัฐฯ ลดลง
ส่วนเรื่องการขึ้นหรือลงของราคาน้ำมันดิบในต่างประเทศก็ไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นนัก
เพราะนักลงทุนมักจะรู้อยู่แล้วว่าหากราคาน้ำมันขึ้นจะเป็นอย่างไร น้ำมันลงจะออกมาในรูปแบบ
ไหน ขณะที่ปัจจัยในประเทศเองนอกเหนือจากเรื่องการยกเลิกกฎอัยการศึกก็คงไม่มีอะไรที่นักลง
ทุนอยากจะติดตามอีก เพราะก่อนหน้านั้นเรื่องการอนุมัติโครงการรถไฟฟ้า 5 สายของรัฐบาลก็
ผ่านไปแล้วและนักลงทุนก็รับรู้ข่าวไปหมดแล้ว อีกทั้งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ทยอย
ประกาศออกมาหมดแล้ว
ดังนั้นเมื่อภาวะโดยรวมออกมาในลักษณะนี้ ตลาดฯไร้แรงดึงดูดเพราะไม่มีปัจจัย
เด่นๆ จึงทำให้หุ้นเก็งกำไรกลับมาผงาดอีกครั้ง และก็มักจะกลับมาถูกเวลา ถูกจังหวะทุกครั้งด้วย
เช่น โดยจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้เป็นต้นมา ราคาหุ้นบิ๊กแคป หรือหุ้นขนาดใหญ่
แทบจะไม่ค่อยมีการซื้อขายมากนัก เมื่อเทียบกับหุ้นเก็งกำไรทั้งขนาดกลาง ขนาดเล็กที่คึกคัก
ตลอด มีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นตลอดทั้งวัน และบางตัวถึงกับติดอันดับหุ้นที่มูลค่าการซื้อขายสูง
สุด 10 อันดับแรกของวันด้วยซ้ำ เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหุ้นเหล่านี้มักจะสร้างสีสรร บรรยากาศให้
กับตลาดฯ อีกทั้งเป็นหุ้นถูกใจนักลงทุนเพราะราคาไม่แพง ทำกำไรได้ง่าย หรือจะบอกว่าซื้อง่าย-
ขายคล่อง ก็คงไม่แปลก
จากรวบรวมของ eFinanceThai.com พบว่าหุ้นเก็งกำไรที่มีการปรับตัวขึ้น-ลงคึกคัก
ในช่วง 1 - 2 สัปดาห์นี้ ประกอบด้วย หุ้น บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) (NNCL) ทั้งหุ้นแม่และ
หุ้นลูก บริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (NEP) บริษัท อีเอ็มซี
จำกัด (มหาชน) (EMC) ทั้งหุ้นแม่และลูกเช่นเดียวกัน บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง
จำกัด (มหาชน) (IEC) บริษัท อาร์ เค มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (RK) บริษัท โกลเบล็ก
โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (GBX) หุ้นแม่และลูก หุ้น บริษัท บลิส-เทล จำกัด
(มหาชน) (BLISS) ทั้งหุ้นแม่และลูกเช่นเดียวกัน และ หุ้น บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้
จำกัด (มหาชน) (METRO)
โดยราคาหุ้น IEC ไต่ระดับเพิ่มขึ้นมาตลอด โดยวันที่ 14 พ.ย.49 ราคาปิดที่ 1.57
บาท จากนั้นปรับตัวเล็กน้อย และมาปิดการซื้อขายวันที่ 16 พ.ย. 49 อยู่ที่ 1.66 บาท คิดเป็นเพิ่ม
ขึ้น 0.09 บาท หรือ 5.73 %
EMC ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 3 วันทำการรวมวันนี้ โดยวันที่ 14 พ.ย. 49 ราคาปิดที่ 2.90
บาท จากนั้นเพิ่มขึ้นถึงวันที่ 16 พ.ย.49 ราคาปิดที่ 3.36 บาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 0.46 บาท
ขณะที่ EMC-W1 ปรับเพิ่มขึ้นมา 3 วันทำการเช่นเดียวกับหุ้นแม่ โดยวันที่ 14 พ.ย.49 ราคาหุ้น
ปิดที่ 1.75 บาท และมาปิดการซื้อขายวันที่ 16 พ.ย. 49 มาอยู่ที่ 2.38 บาท เพิ่มขึ้นมา 0.63 บาท
หรือเพิ่มขึ้น 36%
NNCL ราคาปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่น โดยวันที่ 2 พ.ย.49 ราคาปิดที่ 1.92 บาท จากนั้น
ราคาขยับสร้างฐานใหม่เพิ่มต่อเนื่องจนถึงวันที่ 16 พ.ย.49 ราคาปิดที่ 4.48 บาท เพิ่มขึ้นมาถึง
2.56 บาท หรือเพิ่มขึ้น 133.33% ขณะที่ NNCL-W1 ราคาก็ขยับเพิ่มขึ้นมาตลอดเช่นกันถึง
10 วันทำการ โดยวันที่ 2 พ.ย. 49 ราคาปิดที่ 0.92 บาท จนถึงวันที่ 15 พ.ย.49 ราคาปิดที่ 2.78
บาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 1.86 บาท หรือ 202.17%
NEP ราคาก็ปรับเพิ่มขึ้นโดดเด่น ถึง 13 วันทำการ โดยวันที่ 31 ต.ค.49 ราคาหุ้นปิดที่
3.44 บาท จากนั้นไต่ระดับเพิ่มถึงวันที่ 15 พ.ย.49 ราคาอยู่ที่ 5.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.06 บาท
หรือ 59.8% ส่วน NEP-W1 มีการไต่ระดับสร้างฐานตลอด โดยวันที่ 31 ต.ค.49 ราคาปิดที่
1.46 บาท จากนั้นวันที่ 15 พ.ย.49 ปิดการซื้อขายที่ 2.98 บาท เพิ่มขึ้น 1.52 บาท หรือ 104.10%
RK ราคาก็ขยับเพิ่มตลอด โดย 31 ต.ค.49 ราคาปิดที่ 3 บาท จากนั้นบวกลบสลับกันแต่ก็
เป็นการสร้างฐานราคาใหม่จนวันที่ 16 พ.ย.49 ราคาปิดที่ 3.96 บาท เพิ่มขึ้น 0.96 บาท หรือ 32%
METRO รือ บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เพิ่มขึ้นมา 13 วันทำ
การ โดยตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.49 ราคาปิดที่ 10.60 บาท จากนั้นเพิ่มขึ้นจนถึงวันที่ 16 พ.ย.49
ราคาปิดที่ 13.70 บาทเพิ่มขึ้น 3.1บาท หรือ 29.24%
GBX หรือ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ราคาไต่ระดับเพิ่ม
ตั้งแต่ 31 ต.ค.49 ราคาปิดที่ 1.90 บาท จากนั้นปรับเพิ่มขึ้นมาจนถึงวันที่ 16 พ.ย. 49 ราคาอยู่ที่
2.54 บาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 0.64 บาท หรือ 33.68% ส่วน GBX-W1 ราคาก็ไต่ระดับมาตามๆ
กัน โดยวันที่ 31 ต.ค.49 ราคาปิดที่ 1.15 บาท จากนั้นไต่ระดับเพิ่มจนถึงวันที่ 16 พ.ย.49 ราคา
อยู่ที่ 1.88 บาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 0.73 บาท หรือ 63.47%
BLISS-W1 หรือ ใบสำคัญแสดงสิทธิ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) ราคาก็เพิ่มขึ้น
เป็นระลอกๆ โดยวันที่ 14 พ.ย.49 ราคาปิดที่ 1.38 บาท จากนั้นขยับเพิ่มจนวันที่ 16 พ.ย.49
ราคาปิดที่ 1.58 บาท เพิ่มขึ้น 0.2 บาท หรือเพิ่มขึ้น 14.49%
เพราะฉะนั้นเมื่อดูสถิติย้อนหลังจะพบว่าการปรับขึ้นแรงของหุ้นดังกล่าว มีอย่างต่อเนื่อง
บางตัวปรับขึ้นสูงสุดถึง 13 วันทำการทีเดียว และแม้ว่าในช่วงก่อนเปิดตลาดฯภาคบ่าย ผู้บริหาร
ตลาดฯจะแถลงข่าวยืนยันว่าจะไม่มีการยกเลิกมาตรการห้ามเน็ต-มาร์จิ้น อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มี
ผลต่อแรงเก็งกำไรมากนัก เพราะหลังจากเปิดตลาดภาคบ่าย ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะปรับตัวลด
ลง แต่ก็เป็นการลดลงเพื่อรับข่าวเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากนั้นก็ยังมีแรงกลับเข้ามาเก็งกำไรอีก
ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น NEP หุ้น EMC RK รวมไปถึงหุ้น METRO ที่แรงหนุนยังคงมีเข้ามาต่อ
เนื่อง สลับกับการขายทำกำไรเป็นช่วงๆ แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าหุ้นหลายตัวจะปิดปรับตัวลดลง แต่
ก็น่าจะมาจากแรงขายทำกำไรด้วย หลังจากที่ระหว่างวันปรับตัวขึ้นมามากประกอบกับส่วนหนึ่งที่
ทิ้งของอาจเพราะภาพรวมตลาดฯยังไม่ชัดเจน
วานนี้ (16 พ.ย.) ราคาหุ้น NNCL ปิดที่ 4.48 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท มูลค่าการซื้อขาย
189.52 ล้านบาท หุ้น NNCL-W1 ปิดที่ 2.64 บาท ลดลง 0.14 บาท มูลค่าการซื้อขาย 819.00
ล้านบาท หุ้น IEC ปิดที่ 1.66 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,114.81 ล้านบาท
หุ้น EMC ปิดที่ 3.36 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท มูลค่าการซื้อขาย 342.78 บาท หุ้น EMC-W1
ปิดที่ 2.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท มูลค่าการซื้อขาย 358.34 ล้านบาท หุ้น NEP ปิดที่ 5.25
บาท ลดลง 0.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 171.78 ล้านบาท หุ้น NEP-W1 ปิดที่ 2.88 บาท ลดลง
0.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 262.91 ล้านบาท
หุ้น METRO ปิดที่ 13.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท มูลค่าการซื้อขาย 62.87 ล้านบาท
หุ้น RK ปิดที่ 3.96 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 449.22 ล้านบาท หุ้น GBK ปิดที่
2.54 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท มูลค่าการซื้อขาย 437.85 บาท หุ้น GBX-W1 ปิดที่ 1.88 บาท
เพิ่มขึ้น 0.19 บาท มูลค่าการซื้อขาย 476.29 บาท หุ้น BLISS ปิดที่ 2.94 บาท เพิ่มขึ้น 0.08
บาท มูลค่าการซื้อขาย 5.86 บาท และหุ้น BLISS-W1 ปิดที่ 1.58 บาท เพิ่มขึ้น 0.17 บาท
มูลค่าการซื้อขาย 85.06 บาท
โดยวานนี้นอกเหนือจากตลาดฯที่ออกมาแถลงข่าวเรื่องดังกล่าวแล้ว ยังรวมไปถึงผู้
บริหารบริษัทจดทะเบียนบางแห่งที่ชี้แจงเรื่องราคาหุ้นที่ปรับขึ้นด้วยเช่นกันเพราะหุ้นบางตัวนั้นขึ้น
สวนทางกับผลประกอบการที่ปรับลดลง อย่างเช่น IEC ที่ยังขาดทุนไตรมาสที่ 3 ถึง 598.63
BLISS ขาดทุน 88.05 ล้านบาท NNCL กำไรลดลงเหลือ 19.56 ล้านบาท ส่วน GBX ก็กำไร
ลดลงเหลือแต่ 1.9 แสนบาทเท่านั้น

* ตลท.ยัน เดินหน้าห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นต่อไป เพราะจำเป็น
นายสุภกิจ จิระประดิษฐกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า
ตลท.จะยังคงใช้มาตรการการห้ามซื้อขายหักกลบลบหนี้ (Net Settlement) และกู้เงินเพื่อซื้อ
หลักทรัพย์ (Margin Trading) ในการดูแลและควบคุมการซื้อขายหุ้นในตลาดต่อไป หลังมีการ
ทบทวนพบว่ามาตรการดังกล่าวยังมีความจำเป็นอยู่ แต่การทบทวนเพื่อปรับปรุงมาตรการก็ยังคง
มีอยู่เรื่อยๆ
ทั้งนี้ในปี 2549 ตลท.ใช้มาตรการห้ามเน็ต-มาร์จิ้นประมาณ 5-6 ราย จากปีก่อนที่ใช้
มาตรการกับ 5-6 รายเช่นกันซึ่งไม่ได้มากขึ้น และตลท.ก็เข้มงวดตามปกติ

* NNCL แจง ยังไม่มีพัฒนาการที่เป็นนัยสำคัญ นอกจากทำธุรกิจปกติ
นายนิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) (NNCL)
กล่าวว่า ตามที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สอบถามมาว่าทางบริษัทฯ มีพัฒนาการใดๆที่เป็นนัย
สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ ทางบริษัทฯ ขอชี้แจงว่า นอกเหนือจาก
กิจการอันเป็นปกติธุรกิจ ซึ่งได้แก่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และสาธารณูปโภค รวมทั้งการให้
บริการอื่นๆ ที่เคยชี้แจงต่อสาธารณชนไปแล้วนั้น ทางบริษัทฯ มิได้มีพัฒนาการใดๆ อันเป็นนัย
สำคัญนอกเหนือจากนี้

* บิ๊ก RK คาดหุ้นวิ่งเพราะ นลท.มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีในอนาคต
นายกิตติวัฒน์ มโนสุทธิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.อาร์ เค
มีเดีย โฮลดิ้ง (RK) กล่าวกับ eFinanceThai.com ถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรงใน
เช้าวันนี้ว่า ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาเพิ่ม ดังนั้นจึงคาดว่าเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มความใจในความ
เปลี่ยนแปลงของบริษัทว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นในระยะเวลาไม่นานนี้ จึงเข้ามาลงทุนกันอย่างต่อ
เนื่อง
ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ถือว่า RK อยู๋ในระดับที่ต่ำที่สุดแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้ ทุกอย่างจึง
มีแต่จะเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มเข้าใจในจุดนี้ จึงได้เข้ามา
ลงทุนกันอีกครั้ง ซึ่งในฐานะของผู้บริหารก็คงต้องทำงานให้ออกมาดีที่สุด ส่วนราคาหุ้นจะเป็นอย่าง
ไรก็เป็นเรื่องของความมั่นใจในการลงทุนของนักลงทุนเอง นายกิตติวัฒน์กล่าว
นอกเหนือจากนักลงทุนมั่นใจในความเปลี่ยนแปลงของบริษัทแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งน่าจะเป็น
เพราะ RK เป็นหุ้นที่มาร์เก็ตแคปขนาดเล็ก ดังนั้นการเข้ามาซื้อขายเพียงไม่มากก็อาจจะมีผลให้
ราคาหุ้นเคลื่อนไหวหวือหวาได้ ดังนั้นการปรับตัวขึ้นแรงของราคาหุ้นก็อาจจะไม่ได้เป็นเพราะมีสิ่ง
ใดผิดปกติ แต่เป็นเพราะอุปสงค์-อุปทานในตลาดฯ เอง

*โบรกฯชี้ นลท.เบื่อหุ้นใหญไม่คึก หันเก็งกำไรหุ้นเล็กราคาถูกดีกว่า
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทีเอสอีซี
กล่าวว่า สาเหตุที่นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดเล็กในระยะนี้ เพราะหุ้นที่มี
มาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่โดดเด่นเข้ามาสนับสนุน ประกอบกับผลประกอบการ
ในไตรมาสที่3/2549 ของหุ้นขนาดเล็กยังออกมาดีอีกด้วย รวมทั้งหุ้นยังมีราคาถูก ซึ่งสามารถซื้อ
ขายได้สะดวก จึงส่งผลให้หุ้นในกลุ่มดังกล่าวคึกคัก และเป็นตัวกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนให้สด
ใสได้บ้าง
ผลประกอบการในไตรมาสที่3/2549 ของตลาด MAI ทั้งกลุ่มก็ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 90%
จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร อีกอย่างหุ้นกลุ่มนี้ราคาถูกเข้าง่ายออกง่าย ส่วนใน
อนาคตประเมินได้ค่อนข้างลำบากว่าการเคลื่อนไหวของหุ้นเก็งกำไรจะเป็นอย่างไรเพราะมันจะ
ต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบการและปัจจัยที่เข้ามาในช่วงนั้นๆ นางสาวสุภากร กล่าว
ทั้งนี้แนะนำนักลงทุนเลือกซื้อหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ธนาคารพาณิชย์ และรับเหมา เนื่อง
จากได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงและอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้ม
ปรับลดลง
ด้านเจ้าหน้าที่วิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง กล่าวถึงกรณีหุ้นเก็งกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่าง
คึกคักในช่วงนี้ว่า การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นดังกล่าว เป็นเพราะนักลงทุนระยะสั้นเข้ามาเก็บหุ้นใน
ช่วงที่ภาวะตลาดหลักทรัพย์พักฐานจึงดันให้ราคาหุ้นดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นได้เด่นชัด แต่ทั้งนี้ไม่
สามารถประเมินได้ว่าหุ้นเก็งกำไรดังกล่าวจะมีราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึงเมื่อใด คงขึ้นอยู่กับ
ภาวะตลาดฯโดยรวมประกอบด้วย
หุ้นไหนที่ปรับเพิ่มขึ้นมามาก ก็จะมีนักลงทุนสนใจเข้าซื้อมากเพราะหวังราคาขยับเพิ่มซึ่ง
ก็จะมีความเสี่ยงจากการลงทุนสูง โดยหุ้นบางตัวมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ฉะนั้นนักลงทุนที่สนใจ
หุ้นที่ขึ้นแรงและลงแรงก็ต้องให้ระมัดระวังความเสี่ยงให้มาก เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ กล่าว

ที่มา อีไฟฯ

 กลับขึ้นบน
arthor
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 803
#1 วันที่: 17/11/2006 @ 11:52:43 : re: กลต.ทำงานแค่แผ่นเสียงตกร่อง คิกคิก ใครจะกลัว 555555
ตลาดมั่นใจระบบตรวจสอบการปั่นหุ้นเกาะติดการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิด

นายสุภกิจ จิระประดิษฐกุล ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานกำกับตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่ง
ประเทศไทย(ตลท.)เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มั่นใจในระบบตรวจสอบการซื้อขายหลักทรัพย์ที่
มีอยู่ คือ Surveillance Terminal และ Alert System ว่าจะสามารถจับความเคลื่อนไหวของหุ้น
ที่มีความผิดปกติได้ แม้ในปี 2550 ที่คาดว่าจะปริมาณการซื้อขายคึกคักก็ตาม
การมีระบบ Alert ซึ่งเป็นการตรวจสอบค่าย้อนหลังในอดีตจะช่วยให้เห็นค่าเปรียบ
เทียบกับปัจจุบัน หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นก็จะมีคนเข้าจับตาดูได้ทันที และเป็นจำนวนที่เพียง
พอต่อการรองรับได้ นายสุภกิจกล่าว
สำหรับประเด็นของมาตรการห้ามซื้อขายแบบหักกลบลบราคาในวันเดียวกัน (เนต
เซตเทิลเม้นท์) และการกู้เงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้น เทรดดิ้ง)ที่ก่อนหน้านี้ นายสุทธิชัย จิตร
วาณิช ที่อดีตเคยคุมสายงานกำกับหลักทรัพย์ เคยผลักดันจะให้ยกเลิกมาตรการเนตเซต
เทิลเม้นท์ และมาร์จิ้น ยืนยันว่าจะยังคงใช้อยู่ เนื่องจากถือเป็นมาตรการที่จำเป็นในการเตือนผู้ลง
ทุนให้ระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวไม่ใช่การห้ามซื้อขาย ดังนั้นจึงอาจมีบางกลุ่มที่
มีเงินทุนซื้อขายต่อจนทำให้ราคาปรับตัวขึ้นอีก ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงต้องดำเนินมาตรการต่อเนื่อง
เพื่อเตือนนักลงทุน
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่ใช้มาตรการดังกล่าวเข้าแทรกแซงการซื้อขายบ่อยเกิน
ไป เพราะอาจจะทำให้ดูเหมือนว่านักลงทุนไม่มีความรู้มากเพียงพอ จึงต้องมีการควบคุมปริมาณ
การใช้มาตรการ ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบหุ้นที่ตลาดหลักทรัพย์ห้าม เนตเซตเทิลเม้นท์และ
มาร์จิ้นฯ ในปีนี้กับปีที่ผ่านมาพบว่ามีปริมาณที่ใกล้เคียงกัน ที่ระดับ 5-6 ตัว ซึ่งถือว่าไม่ได้เพิ่มขึ้น
มากนัก
นายสุภกิจกล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จับตาหุ้นหลายตัวแบบวันต่อวัน แต่ยัง
ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากจะก่อให้เกิดความไม่ชัดเจนต่อตลาดหุ้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์ แนวหน้า
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com