May 2, 2024   3:06:39 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 17/11/2006 @ 12:27:15
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index
วันพฤหัสบดีที่ 16 พ.ย. ปิดที่ 733.14 จุด นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 424.40 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิที่ 252.06 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิที่ 172.35 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ดัชนี 735.93 จุด +1.88จุด และ Low ที่ดัชนี 730.85 จุด -3.20 จุด
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังคงแกว่งตัวขึ้นลงทั้งแดนบวกและลบ หุ้นใหญ่ยังคงพักตัวให้ดัชนีปรับฐานอยู่อีกสักระยะ นักลงทุนส่วนใหญ่จึงหันมาเล่นหุ้นเล็กเก็งกำไรกันแทน ดัชนียังคงขึ้นลงสลับเป็นบวกและลบ มูลค่าการซื้อขายไม่หนีจากเมื่อวันพุธเท่าไหร่นัก ตลาดมีแรงซื้อหุ้นอสังหาริมทรัพย์และหุ้นเทคโนโลยีแต่มีแรงขายมากกว่าจากหุ้นแบงค์และหุ้นพลังงานถ่วงตลาดทำให้ SET Index ไม่สามารถดีดตัวยืนปิดให้เป็นบวกได้
โดยดัชนีอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากเมื่อวันพุธที่ผ่านมา สภาพตลาดตอนนี้ยังขาดปัจจัยใหม่หนุนจึงยังไม่ไปไหน ที่ปรับลงนั้นเพราะดัชนีถึงจุดที่ต้องพักฐานบวกกับการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน K.KRAZIP คาดว่าตลาดวันนี้ก็คงจะยังไปได้ไม่ไกล คงแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ เหมือนทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา

TTA
ราคาเปิดที่ 27.00 บาท ราคาปิดที่ 27.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 28.77 ล้านบาท TTA ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/49 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 862ล้านบาท ลดลง 19% yoy แต่เพิ่มขึ้น 23% qoqหากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 161 ล้านบาท จะมีกำไรปกติเท่ากับ 701
ล้านบาท ลดลง 31% yoy แต่เพิ่มขึ้น 22% qoqรายได้จากการเดินเรือเพิ่มขึ้น 18.7% qoq และ 3% yoy รายได้จาก MML ลดลง 11% จากไตรมาสก่อนหน้า จากการประมาณการกำไรปกติปี 50 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้น 79% ของรายได้ดำเนินงาน ไม่รวมกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเป็นรายได้ค่าระวางเรือซึ่งจะแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของดัชนี BDI กอปรกับโครงสร้างรายได้ค่าระวางเรือปัจจุบันมีสัดส่วนสัญญาเช่าระยะยาวเพียง
40% ทำให้ TTA ได้รับผลดีจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราค่าระวางเรือในปัจจุบัน ภายใต้สมมติฐานอัตราค่าระวางเรือเฉลี่ยปี 50 เพิ่มขึ้น 10%YoY
และจำนวนวันเดินเรือทรงตัว YoY คาดว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 50 เพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 49 เป็น 31% ส่งผลให้กำไรการดำเนินงานปกติปี 50
เพิ่มขึ้น 18%YoY นอกจากนี้ใน 1-2 เดือนข้างหน้าอาจมีเรื่องการเก็งกำไรปันผลจากกำไรครึ่งปีหลัง ประมาณการไว้ที่ 0.70 บาท/หุ้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อเก็งกำไร โดยมีแนวรับที่ 26.50 บาท แนวต้านที่ 28.25 บาท

CSL
ราคาเปิด - ปิด 3.94 บาท มูลค่าการซื้อขาย 0.753 ล้านบาท รายงานกำไรสุทธิ 3Q06 ที่ 63 ล้านบาท ดีกว่าประมาณการที่คาดไว้
จากการบันทึกภาษีในอัตราน้อยกว่าคาดอันเกี่ยวข้องกับรายการตั้งสำรองต่างๆประกอบกับการประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้กำไรนี้สูงกว่าไตรมาสที่แล้วถึง 26%
โดยทั้งปี49 คาดว่าจะมีกำไร 240 ล้านบาท จะการประมาณการว่า EBITDA จะขยายตัว29% จากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในธุรกิจสมุดหน้าเหลืองตั้งแต่กลางปี48 อีกทั้งการซื้อกิจการธุรกิจคอนเทนต์ในปีนี้ด้านแนวโน้มในอนาคตดูเหมือนภาพรวมธุรกิจค่อนข้างคงที่ธุรกิจอินเตอร์เน็ตดีขึ้นเล็กน้อย
แต่เชื่อว่าการประหยัดค่าใช้จ่ายและการถึงจุดคุ้มทุนของธุรกิจคอนเทนต์น่าจะช่วยให้กำไรในปี50 ขยายตัวราว 12% K.KRAZIP แนะนำ ซื้อเก็งกำไร แนวรับ 3.90 บาท แนวต้าน 4.04 บาท

BANPU
ราคาเปิด ? ปิด 164 บาท มูลค่าการซื้อขาย 80.55 ล้านบาท จากที่ราคาถ่านหินปรับตัวลดลงเพียงชั่วคราวแต่ราคาถ่านหินมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นใน Q1/50 และคาดว่าแนวโน้มราคาถ่านหินในปี 2550 จะมีความผันผวนน้อยกว่าปีทีผ่านมา มีความเห็นที่เป็นบวกมากขึ้นเนื่องจากอุปทานใหม่มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ตลาดลดน้อยลง ขณะที่อุปสงค์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวโอกาสเติบโตของธุรกิจถ่านหินระยะกลาง
มาจากจีนและอินเดีย BANPUกำลังจะมุ่งสู่กลุ่มลูกค้าโรงไฟฟ้าในจีนละอินเดียมากขึ้นเนื่องจากเป็นประเทศที่มีความต้องการใช้ถ่านหินเติบโตอย่างมาก โดยในช่วงปี2546-2550 คาดว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยถึง 33%YoY เป็น 15ล้านตันในจีน และ 30%YoY เป็น 36 ล้านตันในอินเดียเมื่อสิ้นปี 50
โดยถ่านหินจากเหมืองอินโดนีเซียเป็นแหล่งที่มีศักยภาพสูงที่จะส่งออกไปยังจีนและอินเดีย ทั้งในเรื่องของราคาขายและค่าขนส่งถ่านหิน ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อ แนวรับที่ราคา 162 บาท แนวต้านที่ราคา 166 บาท

LH
ราคาเปิด 8.05 บาท ราคาปิด 7.95บาท มูลค่าการซื้อขาย 142.47 ล้านบาท คาดว่าประกอบการในปี2549 LH จะมีรายได้จากการขาย 16,294 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4,086 ล้านบาท ได้จ่ายปันผลระ หว่างกาลไปแล้ว 0.17 บาทต่อหุ้น และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลส่วนที่เหลืออีกประมาณ 0.17 บาทต่อหุ้น จากที่ LHสินค้าในมือเริ่มจับระดับล่างมากชึ้น เห็นได้จากการเปิดตัวโครงการของ LHในช่วงครึ่งปีหลัง ที่มีราคาบ้านอยู่ในระดับ 3-5 ล้านบาท
และมีราคาเฉลี่ยโครงการอยู่ที่ 4.05 ล้านบาท เห็นว่าเริ่มเข้าสู่การแข่งขันสินค้าที่อยู่ในระดับล่างมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับตลาดความต้องการมากกว่าเป้าหมายเดิมที่อยู่ในระดับบน ประกอบ กับการที่ LHมี Brand Loyalty คาดว่าช่วยผลักดันยอดขายในอนาคต ส่วนทิศทางการปรับลดของอัตราดอกเบี้ย รวมถึงราคาน้ำมันที่ค่อนข้างทรงตัว คาดว่าจะทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในช่วงปี 2550 LHมีแผนกระจายสินค้าในตลาดเพิ่ม และจะมีการเพิ่ม Product ขึ้นอีก ดังนั้น
K.KRAZIP แนะนำ ซื้อ แนวรับ7.80 บาท แนวต้าน8.40 บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:b39ace81d3">

.000005 .000005

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com