จากการแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ฉบับประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2549นั้น ต้องขอขอบคุณ?คุณพรพรรณ จารุพรรณ ท่านผู้ติดตามอ่านคอมลัมท์เป็นประจำ ที่ได้โทรเข้ามาติดชมในข้อผิดพลาดบางประการ ที่ได้นำเสนอไปจึงต้องขอแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ การขอคืนเงินเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี โดยการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) จะใช้ขอลดหย่อนได้เป็นปีต่อปีเท่านั้น มิใช่ลดหย่อนได้ตลอด 5 ปีติดต่อกัน จึงต้องขออภัยในความผิดพลาดดังกล่าว

สืบเนื่องจากการที่แบงค์ชาติได้ประกาศออกนโยบายใหม่ เพื่อสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2549 โดยให้มีการกันสำรอง 30% สำหรับเงินลงทุนจากต่างประเทศนั้นได้สร้างความเสียหายแก่ตลาดหุ้นอย่างใหญ่หลวง แต่ก็ยังดีที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มรว.ปรีดียาธรณ์ เทวกุล ได้ออกมาแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ทำให้วันรุ่งขึ้นตลาดได้มีการปรับตัวขึ้นมาในระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้ความเสียหายลดน้อยลง แต่สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนในตลาดตั้งตารอ ก็คือคำขอโทษจากผู้ที่ออกนโยบายดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้นแต่ก็หามีไม่ กลับไปโทษนักลงทุนในตลาด ว่าตื่นตกใจกันจนเกินไป ขายหุ้นไปอย่างไร้สติ ไร้เหตุผล โดยเฉพาะคำกล่าวของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบท่านหนึ่งในการออกนโยบายดังกล่าว ?หาว่า นักลงทุนในตลาดขี้ตื่นตกใจ ขนาดแค่เสียงอีการ้องทัก ยังตกใจเลย? ซึ่งเป็นคำกล่าวที่แย่มาก แสดงถึงความไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง แต่กลับไปโทษผู้อื่น ซึ่งจะมีจิตสำนึกต่อการกระทำของตนเองก็หาไม่ (น่าตำหนิอย่างที่สุด) ซึ่งจากนโยบายดังกล่าวก็เชื่อว่า นักลงทุนต่างชาติจะมีการถอนเงินลงทุนออกจากประเทศไทยอย่างแน่นอน และจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งหรือไม่ ก็คงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพัก

สำหรับสภาพลงทุนในตลาดดูเหมือนจะเริ่มเงียบเหงา ปริมาณการซื้อขายเริ่มน้อยลง นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความไม่เชื่อมั่นในนโยบายที่ออกมาของแบงค์ชาติ ซึ่งการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่จะขายหุ้น MKT.CAP. ใหญ่ ๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่ม แบงค์ หรือ กลุ่มพลังงาน โดยมีนักลงทุนสถาบันภายในประเทศเข้าช้อนซื้อไว้ ซึ่งดัชนีก็สามารถรีบาวน์กลับขึ้นมาได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เมื่อหมดแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันเมื่อไร สถาพตลาดก็อาจจะอ่อนตัวลงได้ ซึ่งการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ ก็คงเป็นการออกไปจากตลาดหุ้นไปสักระยะหนึ่ง จนกว่านโยบายของแบงค์ชาติจะมีความชัดเจน ไม่กลับไปกลับมาเหมือนปัจจุบัน หรืออาจจะออกไปจากตลาดหุ้นไทยอย่างไม่มีวันกลับ (เข็ดแล้วจ้า!!!!) โดยให้สังเกตจากค่าเงินบาทในระยะนี้ ว่าจะมีการอ่อนค่าอย่างรวดเร็วหรือไม่ สำหรับดัชนีในช่วงนี้ แนวรับที่สำคัญบริเวณ 650 จุด ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์ ที่ถือว่าเป็นบริเวณแนวรับที่สำคัญ ซึ่งถ้าบริเวณดังกล่าว ดัชนีมีการปรับทะลุลงมาก็จะทำให้เกิดลักษณะของ DEAD CROSS เป็นลักษณะของการที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน แต่ถ้าแนวรับบริเวณ 650 จุด ยังสามารถรับอยู่(ซึ่งถือว่าเป็นแนวรับที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง) ดัชนีก็มีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวขึ้นอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายในบริเวณ 712 จุด ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 75 สัปดาห์

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากตลาดมีการปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว โดยที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร ซึ่งต้องถือว่าขณะนี้ราคาหุ้นโดยส่วนใหญ่ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของหุ้น จึงแนะนำสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็บสะสมหุ้นถูก ๆ ในช่วงนี้ เข้ารับหุ้นในบริเวณในแนวรับ 650 จุด โดยเน้นหุ้นกลุ่ม MKT.CAP ใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มแบงค์ กลุ่มพลังงาน แต่สำหรับนักลงทุนที่ชอบเก็งกำไร เนื่องจากสภาพตลาดหุ้นอาจจะเงียบ และซึม ๆ จนถึงปีหน้า ก็ให้เข้าเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งหุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ และเป็นหุ้นที่มีเจ้ามือคอยดูแลอยู่ เช่น KMC ,IEC, PICNI, N-PARK, NSM ,GBX เป็นต้น ส่วนหุ้น MKT.CAP ใหญ่ ๆ ที่เหมาะกับการเก็บสะสม ได้แก่ KBANK ,SCB, BBL, BECL, PDI, BANPU, LH ,TPIPL, PTTEP PTT ,THAI เป็นต้น

หุ้นอย่างนี้กลับบ้านเก่าดีกว่า

.0000026