[b:215b16d5a5">TOPผลงานเยี่ยมโบรกแนะ?ซื้อ? [/b:215b16d5a5">

โบรกประสานเสียงเชียร์ซื้อหุ้น TOP จากผลงานที่ยังยอดเยี่ยมศักยภาพการประมูลโรงไฟฟ้า IPP ยังแจ่มชัด มองเกมธุรกิจเฉียบขาดจากกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจโรงกลั่นที่มีความผันผวนตามค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า มองราคาเป้าหมายปี 50 สูงสุดที่ 73.84 บาท แนะ ?ซื้อ?

บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด แนะนำ ซื้อ หุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) TOP ราคาเหมาะสมปี 2550 อยู่ที่ 73.84 บาท โดยมีมุมมองว่า TOP เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีศักยภาพในการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้า IPP ด้วยต้นทุนการก่อสร้างที่ต่ำอยู่ในระดับต้นๆ ของผู้ประกอบการในปัจจุบัน จุดเด่นของ TOP ได้แก่ การมี PTT ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายก๊าซธรรมชาติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

นอกจากนี้ TOP สามารถใช้พื้นที่ของโรงงาน IPT เดิม ก่อสร้างโรงไฟฟ้าจำนวน 700 MW ได้ 2 ชุด โดยพื้นที่โรงงานดังกล่าวมีท่อส่งก๊าซธรรมชาติขนาด 28 นิ้ว ท่อน้ำดิบ และ สายส่งขนาด 230 KV รองรับ ฝ่ายวิจัยคาดว่าในการประมูล IPP รอบใหม่ TOP จะชนะการประมูลประมาณ 700 MW ซึ่งการขยายธุรกิจในส่วนของโรงไฟฟ้านอกจากจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทแล้ว ยังเป็นการสร้างเสถียรภาพของผลประกอบการ กระจายความเสี่ยงจากธุรกิจโรงกลั่นที่มีความผันผวนตามค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ ?ซื้อ? TOP ราคาเหมาะสมปี 2550 อยู่ที่ 73.84 บาทต่อหุ้น จากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่โอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจโรงไฟฟ้า IPP นอกจากนั้นค่าการกลั่นที่โดยมากจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปี จากปัจจัยทางด้านฤดูกาล (ฤดูหนาวจะมีความต้องการใช้น้ำมันดีเซลสูง ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในทิศทางเดียวกัน

ด้านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ สินเอเชีย จำกัด ประเมินราคาเหมาะสมของ TOP ไว้ที่ 69 บาท แนะนำ ?ซื้อ? เช่นเดียวกัน โดยคาดว่าเงื่อนไขการประมูลไอพีพีเบื้องต้น จะพิจารณาจากประสบการณ์ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าและการจัดการทางเงิน รวมทั้งการสร้างความเข้าใจชุมชนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาเช่นกัน ซึ่ง TOP เองก็มีพื้นที่เดิมในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าส่วนขยาย ทำให้การทำความเข้าใจกับชุมชนน่าในแง่สิ่งแวดล้อมน่าง่ายขึ้น รวมถึงต้นทุนต่อหน่วยในการเสนอขายไฟฟ้าก็น่าจะอยู่ในอัตราแข่งขันได้

ดังนั้น TOP จึงเป็นหนึ่งในผู้ผลิตไอพีพีที่มีโอกาสชนะการประมูล ซึ่งถือเป็น Upside ในอนาคต หากสามารถชนะการประมูลได้ ยังคงแนะนำ ?ซื้อ? TOP ที่ราคาเป้าหมาย 69 บาท โดยใช้ P/E Ratio ที่ 9 เท่า คาดว่าในระยะยาว TOP ยังมีโอกาสเติบโตตามอุตสาหกรรมการกลั่นที่ยังตึงตัว และการกระจายไปยังธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นและปิโตรเคมีจะช่วยลดความผันผวนจากค่าการกลั่นของธุรกิจโรงกลั่นได้ดีขึ้นรวมทั้งโอกาสเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกะวัตต์ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2550 ด้วย

วานนี้ ( 21 ธ.ค.49) ราคาหุ้น TOP ปิดซื้อขายที่ 53.00 บาท ลดลง 1.50 บาท มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 260.16 ล้านบาท

[b:e2b71ec30d">บล.กิมเอ็ง [/b:e2b71ec30d">

บทวิเคราะห์

แนวโน้มตลาดวันนี้
เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 998.13 ล้านบาท จากการขาดความเชื่อมั่นต่อนโยบายของภาครัฐฯ และเป็นไปตามที่เราได้ตั้งข้อสังเกตไว้ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลง 15.4 จุด ปิดที่ระดับ 676.10 จุด เราคาดว่าตลาดจะยังคงถูกกดดันต่อเนื่องโดยนักลงทุนต่างชาติคาดว่าจะยังขายสุทธิต่อเนื่องอยู่ เนื่องจากเป็นวันก่อนวันหยุดยาวช่วงคริสมาสต์

ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงตามผลกระทบจากมาตรการกันเงินสำรองนำเข้าจากต่างประเทศระยะสั้นโดยเมื่อวานนี้เงินบาทอ่อนค่ามาอยู่ที่ระดับ 36.50 บาท/เหรียญสหรัฐฯ จากก่อนออกมาตรการอยู่ที่ระดับ 35.97 บาท/เหรียญสหรัฐฯ หุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ได้แก่ กลุ่มผู้ส่งออก (แนะนำ TUF และ CPF) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ (แนะนำ CCET และ DELTA) กลุ่มขนส่งทางเรือเพราะมีรายรับเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯทั้งหมด ขณะที่ค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็นเงินบาท ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเสมือนว่าถูกลง (แนะนำ TTA และ PSL)

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปี 2550 เราค่อนข้างมีมุมมองในด้านลบต่อตลาดหุ้นไทย โดยเราได้ปรับประมาณการเป้าหมายของตลาดหุ้นไทยในระยะหนึ่งเดือนข้างหน้าจาก 780 ลงเหลือ 680 เนื่องจากการขาดความเชื่อมั่นในนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้เป็นการลำบากที่นักลงทุนต่างชาติจะหวนกลับคืนตลาดหุ้นไทยในเร็วๆนี้ ในขณะที่ยังขายสุทธิต่อเนื่อง ดังนั้นการที่ตลาดจะดีดกลับขึ้นไปเหลือ 680 ยังเป็นไปลำบากนอกจากเราจะเห็นสัญญาณการกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ

หุ้นน่าจับตา
PDI : ราคาสังกะสีเช้านี้อยู่ที่ 4,130 เหรียญ/ตัน ลดลง 110 เหรียญ/ตัน จากเมื่อวานและเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากเมื่อวานราคาก็ลดลง 100 เหรียญ/ตัน รวมเป็นลดลง 210 เหรียญ/ตันใน 2 วัน เนื่องมาจากความกังวลว่าความต้องการจะชะลอตัวลง รวมถึงใกล้ช่วงวันหยุดยาว ทำให้นักลงทุนทยอยออกจากตลาด ราคาที่อ่อนตัวลงเป็นไปตามที่ประเมินไว้ ซึ่งจะทำให้กำไรในปีหน้าลดลง เรายังแนะนำ ขายทำกำไร โดยมีราคาเป้าหมายที่ 43 บาท

CPF : จะได้รับผลบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาทหลังการออกมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย ในขณะที่ราคาเนื้อไก่ในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นมายืนอยู่ในระดับดีคือ 32-33 บาท/กิโลกรัมคาดว่าจะช่วยสนับสนุนผลประกอบการของบริษัท เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาที่เหมาะสมที่ 5.90 บาท

บทวิเคราะห์วันนี้
- กลุ่มเหล็ก <เป็นบวก/เป็นลบ> สถาบันเหล็กฯคาดปีหน้าอุตสาหกรรมเหล็กฟื้นตัว

[b:5a1158b387">บล.แอ๊ดคินซัน [/b:5a1158b387">

กลยุทธ์การลงทุน
เวลานี้หุ้นชั้นดี เช่นกลุ่มที่อยู่ใน SET50 ถือว่ายังมีความเสี่ยงจากการถูกเทายจากนักลงทุนต่างประเทศ เราจึงแนะนำให้ปรับสัดส่วนของพอร์ตลงทุนระยะยาวให้ต่ำกว่า 50% และเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นเล่นเก็งกำไร ในหุ้นที่ปรับตัวลงมามากๆ เพราะตลาดอาจซึมลงไปจนถึงกลางสัปดาห์หน้าเลย เมื่อฝรั่งกลับมาอีกครั้งหลังวันหยุดเทศกาลคริสต์มาส


[b:5a1158b387"> บล.ยูโอบีฯ [/b:5a1158b387">


MAJOR ซื้อลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว
เผยแผนการดำเนินงานปี 50 บริษัทฯ จะนำกลุ่มธุรกิจในเครือมาทำธุรกิจร่วมกัน โดยจะนำรูปแบบของการนำแบรนด์โรงหนังทั้ง 4 ซึ่งประกอบด้วย เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ อีจีวี พารากอนซีนีเพล็กซ์ และแบรนด์น้องใหม่ล่าสุด เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ มาจัดแคมเปญร่วมกับกลุ่มบริษัทในเครือ หรือการนำพันธมิตรที่เป็นคู่ค้ามาทำการค้าร่วมกัน นอกจากนี้บริษัทฯ เตรียมงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท ไว้สำหรับทำการตลาดในปี 50

GOLD ซื้อเก็งกำไรเมื่อราคาอ่อนตัว(แนวรับ 6.85 บาท)
คาดปี 50 จะมีรายได้เติบโตประมาณ 10% จากปี 49 ที่คาดรายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 2,700 ล้านบาท โดยในปี 50 รายได้จะยังเติบโตจากโครงการเดิมทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมสูง นอกจากนี้ปี 50 บริษัทเตรียมเปิดโครงการโกลเด้น นครา เฟส 2 และ ขยายโครงการอินฟินิตี้ โดยโครงการอินฟินิตี้บริษัทจะรับรู้รายได้ในปี 49 จำนวน 40% และปี 50 อีก 40% ทั้งโครงการมีจำนวน 122 ยูนิต

TWZ ขายทำกำไร
คาดรายได้รวมปี 49 จะอยู่ที่ 3,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 48 ซึ่งมีรายได้ 2,900 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ 80 ? 90% และรายได้จากการให้บริการ 10% และปี 50 บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มสินค้าตัวใหม่ในส่วนของเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อจำหน่ายทั้งในส่วนของค้าปลีกและส่งเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าหมายจะมีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 10% ของตลาดรวม คิดเป็นยอดขายประมาณ 800,000 เครื่อง จากปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 7% คิดเป็นยอดขายประมาณ 500,000 เครื่องต่อปี

ACAP หลีกเลี่ยง(สภาพคล่องหุ้นมีน้อยมาก)
ตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 50 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามการเติบโตของการบริหารหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และคาดธุรกิจของบริษัทจะขยายตัว จากการที่สถาบันการเงินนำ NPL ออกมาประมูลขายไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท นอกจากนี้คาดธุรกิจที่ปรึกษาการเงินในปี 50 จะมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20%

WORK ซื้อลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว(แนวรับ 21 บาท)
คาดปี 49 จะมีรายได้เติบโตเพียง 15% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดเติบโต 20% จาก 1,130 ล้านบาท ในปี 48 เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลต่อเม็ดเงินโฆษณา และคาดปี 50 รายได้รวมจะเติบโต 20% จากปี 49 รายได้ปี 50 จะเติบโตได้จากรายได้ทีวีเพิ่มขึ้น และตั้งเป้าหมายปี 50 จะมีแผนปรับขึ้นค่าโฆษณาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 8 ? 10%

MK ถือ(รอขายทำกำไร)
ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 50 ที่ 2,700 ล้านบาท เพิ่มจาก 2,400 ล้านบาท ในปี 49 โดยยอดขายโครงการและกำไรสุทธิในไตรมาส 4/49 จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3/49 นอกจากนี้ปี 50 บริษัทฯ มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 3 แห่ง มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท เน้นบ้านพักอาศัยตามความชำนาญ และคาดจะหาทำเลใหม่ เพื่อขึ้นโครงการเพิ่มอีกภายในต้นปี 51

TBANK เปลี่ยนเป็น KBANK หรือ BBL
คาดการณ์ว่าแนวโน้มธุรกิจเช่าซื้อในปี 50 จะเติบโต 5% ลดลงจากการเติบโตในปี 49 ที่เติบโตสูงถึง 30% เนื่องจากสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อของธนาคารมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก ขณะที่คาดว่าส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิในปี 50 จะอยู่ที่ 3.5% เพิ่มขึ้นจาก 3%ในปัจจุบัน

[b:04762fe058">บล.โกลเบล็ก [/b:04762fe058">

หุ้นแนะนำพิเศษ : BECL (ปิด 22.60 ซื้อ: เป้าปี 50, 28.50) ผลประกอบการ 4Q49 คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ โดยตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. ? 31 ต.ค.49 ซึ่งเป็นช่วงต้นของการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ มีปริมาณการใช้ทางด่วนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 34,000 คัน/วัน หรือคิดเป็น 15.5% แต่เราคาดว่าในสถานการณ์ปกติแล้วปริมาณผู้ใช้ทางด่วนจะเพิ่มขึ้นราว 25,000-30,000 คัน/วัน ซึ่งจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นราว 4.5-6 แสนบาท/วัน ทั้งนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 49 จะเติบโตประมาณ 7% ส่วนในปี 50 เราคาดว่าจะสามารถเติบโตไม่ต่ำกว่า 7% ได้ ยังมี Upside Gain 26% (0)

[b:c8a103bea4">บล.นครหลวงไทย [/b:c8a103bea4">

Daily Trading Strategy
View on SET NEGATIVE L
Fundamental View แรงขายต่างชาติกดดัน
Technical View ขายที่แนวต้าน 685
Futures Market Short Position
กลยุทธ์การลงทุน หลีกเลี่ยงหุ้น Big cap

ซื้อสะสม LPN / SPALI / WORK
ลดพอร์ต ADVANC
เก็งกำไร MS

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้
นักลงทุนระยะสั้น ?หลีกเลี่ยงการลงทุน? ในหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติถือครองอยู่มาก (ดูรายงาน NVDR) เช่น BBL KTB SHIN SCB ADVANC PTT และ ?เก็งกำไร? หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (LPN SPALI) และ กลุ่มเหล็ก (MS)
นักลงทุนระยะยาว (มากกว่า 3 เดือน) แนะนำ ?ซื้อสะสม? หุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน และ กลุ่มที่ต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศ ได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวกับสินค้าจำเป็น (Utility) เช่น กลุ่มไฟฟ้า (EGCOMP RATCH) กลุ่มขนส่ง (TTA BECL) และ กลุ่มที่เกี่ยวกับการลงทุนในประเทศ ได้แก่ กลุ่มสือสาร (JTS AIT) และ รับเหมาก่อสร้าง (CK ) กลุ่มท่องเที่ยว (ERAWAN MINT

[b:084440da35">บล.พัฒนสิน [/b:084440da35">

หลักทรัพย์ที่มีประเด็น : 1)หุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี(+) 2)หุ้นปันผลสูง (+)

กลยุทธ์การลงทุน
แนะนำ รอขายสัปดาห์หน้า โดยเป้าหมายการขายที่เหนือ 685 จุด ขึ้นไป เนื่องจากอาจมีการทำ Window Dressing สัปดาห์หน้าช่วยหนุนดัชนีฯ โดยยังเน้นหุนกลุ่มปันผลสูง เช่น KTB TISCO SPALI LPN UMS PDI CMO QH CCET DELTA ส่วนนักลงทุนระยะ 12 เดือน ยังคงแนะนำ Accumulative Buy โดยมีเป้าหมายสิ้นปีหน้า ที่ระดับ 887 จุด จากวิธี Bottom Up model

หลักทรัพย์นะนำ :
1) Accumulate : หุ้นเด่นประจำเดือนธันวาคม-มกราคม 2550 : CPF BH QH SKR PDI KBANK SEAFCO KTB MINOR MAJOR UMS AH PR124 KSL
2) หุ้นเด่นทางเทคนิค : RATCH LPN BAY SNC CCET RAIMON GLOW NICH RICH

[b:5fd10e45d8">บล.เคจีไอ [/b:5fd10e45d8">
กลยุทธ์: เชื่อว่าเงินทุนที่มองตลาดหุ้นระยะยาว จะกลับมาในไม่ช้า แนะนำซื้อหุ้นธนาคารใหญ่อย่าง BBL, KBANK, SCB และ KTB นอกจากนี้ในระยะสั้นหุ้นส่งออกน่าจะปลอดภัย เนื่องจากมีความผันผวนต่ำ และได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินบาท แนะนำซื้อ HANA, CCET และ STANLY

[b:5fd10e45d8">บล.เกียรตินาคิน [/b:5fd10e45d8">

กลยุทธ์การลงทุนโดยภาพรวมสำหรับระยะสั้น อาจให้ดีดขึ้นทยอยขายหุ้นกลุ่มหลักไปก่อน
ส่วนกลยุทธ์ระยะกลางให้เป็นถือเงินสดรอซื้อรอบใหม่ จนกว่าเราจะเห็นความผันผวนลดน้อยลงและตลาดมีสัญญาณบวกหรือปัจจัยบวกชี้นำใหม่ๆ ต่อไป

หุ้นแนะนำทางปัจจัยพื้นฐาน
Industry Update
กลุ่มเหล็ก (ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์ หัวข้อ Industry Update)


[b:5fd10e45d8">บล.ซีมิโก้ [/b:5fd10e45d8">

MK : ปี 50 ตั้งเป้ารายได้ 2.7 พันลบ.
MK ตั้งเป้ารายได้ปี 50 ที่ 2.7 พันล้านบาท เพิ่มจากปี 49 ที่ 2.4 พันล้านบาท โดยมีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 3 แห่ง มูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท เน้นโครงการบ้านพักอาศัย ทั้งบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด พร้อมทั้งเล็งหาทำเลใหม่ เพื่อขึ้นโครงการเพิ่มอีกภายในต้นปี 51

ความเห็น : ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 50 เพียง 5.0 เท่า P/BV เพียง 0.5 เท่า และคาดว่าจะให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงถึง 6.9% สำหรับผลประกอบการปี 49 ยังแนะนำ ?ซื้อ? โดยมีราคาตามปัจจัยพื้นฐาน 3 บาท (P/E ปี 50 6 เท่า)

HEMRAJ : Big Lot 290 ล้านหุ้น
ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมา มีรายการ ซื้อขายหุ้นในกระดานรายใหญ่ (Big Lot) หุ้น HEMRAJ จำนวน 5 รายการ คิดเป็น 290 ล้านหุ้น หรือ 3.21% ของหุ้นจดทะเบียน มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 255.20 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 0.88 บาท ซึ่งรายการ Big Lot ดังกล่าว คาดว่าน่าจะเป็นการทำรายการของกองทุนต่างชาติ เนื่องจาก หุ้น HEMRAJ เป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก (กรุงเทพธุรกิจ)

ความเห็น : ยังคงแนะนำ ?ซื้อ? ตามราคาปัจจัยพื้นฐาน 1.1 บาท (DCF ที่ WACC 13.4%)

[b:89fdc8de47">บล.ฟาร์อีสท์ [/b:89fdc8de47">

หุ้นเด่น...วันนี้
WORK : เวิร์คพอยท์ขึ้นค่าโฆษณา


[b:89fdc8de47">บล.เอเซีย พลัส[/b:89fdc8de47">

-แนะซื้อKSL
น้ำตาลขอนแก่น (KSL): ซื้อ
ราคาปัจจุบัน 9.15 บาท
Fair Value 12.69 บาท

* คาดกำไรสุทธิงวด 4Q48/49 หดตัว 26.9% ตามปกติ
* ซื้อ เพื่อรอปัจจัยบวกจากกำไรงวด 1Q49/50 ที่จะเติบโตก้าวกระโดด

[b:33176b940a">บล.สินเอเซีย[/b:33176b940a">

-แนะซื้อSAT
บมจ. สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT): ซื้อ
ราคาปิด 10.80 บาท
ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท
มีศักยภาพในการเติบโต
หมวดธุรกิจ : ยานยนต์

ข้อมูลการเงิน
ปี กำไรสุทธิ กำไรปกติ EPS-กำไรปกติ BV DPS P/E P/BV Div. Yield
(ล้านบาท) (ล้านบาท) (บาท/หุ้น) (บาท/หุ้น) (บาท/หุ้น) (เท่า) (เท่า) (%)
2547 466 328 1.45 1.55 - - - -
2548 441 433 1.44 5.38 0.45 9.16 2.46 3.4
9M49 328 319 1.06 5.92 0.2 - - -
2549F 442 442 1.47 6.4 0.45 7.32 1.69 4.18
2550F 477 477 1.59 7.54 0.49 6.79 1.43 4.51
แหล่งข้อมูล : ข้อมูลบริษัท, ACLS

คำแนะนำการลงทุน
แนะนำ ?ซื้อ? SAT เนื่องจากคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศที่คาดว่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 50
และ Order ใหม่ๆที่ได้รับ โดย ACLS คาดว่าในปี 49-50 SAT จะมีกำไรปกติ 442 ล้านบาทและ 477 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% และ 8% ตามลำดับ
นอกจากนี้แล้ว SAT ยังมีศักยภาพในการเติบโตจากโครงการขยายการลงทุนในโครงการซื้อโรงหล่อเหล็กเพื่อขยายกำลังการผลิต ซึ่งจะส่งผลดีต่อ
อัตรากำไรขั้นต้น อย่างไรก็ตาม ACLS ยังไม่ได้รวมโครงการดังกล่าวในประมาณการ เนื่องจากข้อมูลที่ยังไม่เพียงพอ
ACLS ประเมินมูลค่าพื้นฐานหุ้น SAT ที่ 17.50 บาท โดยใช้ P/E ที่ 11 เท่า