May 3, 2024   6:47:01 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 19 ธันวาทมิฬ VS"เสี่ยปู่-มาม่าบลู-หมอบุญ
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 23/12/2006 @ 19:01:24
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

นักลงทุนรายใหญ่..ผู้มากประสบการณ์


--------------------------------------

สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล (เสี่ยปู่) โค้ด: ตอนที่หุ้นตกหนักๆ ไม่ว่าจะมองมุมไหน ยังไงก็ต้องซื้อ เพราะ P/E ตลาดถูกกดลงมาเหลือแค่ 7 เท่ากว่า..ยังไงตลาดก็ต้องรีบาวด์

-------------------------------------

ศรีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา (มาม่าบลู) โค้ด: ตลาดหุ้นหลังผ่านเหตุการณ์นี้ จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาเอง แต่จะไป เฟื่องฟู จริงๆ อีกครั้ง อาจต้องรอถึงปี 2556

-------------------------------------

น.พ.บุญ วนาสิน โค้ด: ส่วนตัวผมถือคติว่า ถ้าวันไหน SET ร่วงต่ำกว่า 40 จุด ภายในวันเดียว ต้องเก็บ

--------------------------------------

ถ้าลืมความจริงในข้อที่ว่า มาตรการกลับหลังหันของ คุณชายอุ๋ย มีคนได้ประโยชน์ อย่างตั้งใจ แล้วกลับมาประเมินเหตุการณ์ ณ วินาทีแรกที่หุ้นดิ่งพสุธาแบบไม่ทันตั้งตัว และไม่มีญาณหยั่งรู้ล่วงหน้า

นักลงทุนผู้มากประสบการณ์ เขามีมุมมองอย่างไร? และตั้งรับกับเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไร?

เสี่ยปู่..สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล เซียนหุ้นพันล้าน ยอมรับว่า ผลพวงจากมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท ได้ทำให้มูลค่าหุ้นในพอร์ต ลดลงไปมากพอสมควร

แม้ว่าท้ายที่สุดแบงก์ชาติจะผ่อนคลายมาตรการ แต่ราคาหุ้นก็ยังไม่ได้กลับมาเท่าเดิม ต้องอาศัยระยะเวลาอีกซักพัก แต่จะเป็นเมื่อไร..ผมไม่รู้

เสี่ยปู่ระบายความรู้สึกว่า ก่อนที่จะออกมาตรการอะไรนั้น รัฐบาลควรคิดให้รอบคอบกว่านี้ เพราะผลที่ออกมาวันเดียว มูลค่าตลาดหุ้นหายไปกว่า 8 แสนล้านบาท มันคุ้มกันหรือไม่

ถามว่าใครเสียหาย เซียนหุ้นชื่อดังมองว่า คนที่เสียหายมากที่สุด น่าจะเป็นนักลงทุนต่างชาติ...แต่ความเสียหาย มันแค่เล็กน้อย เพราะเขาขายหุ้นออกมาแค่ 2% ในขณะที่ต่างชาติมีสัดส่วนลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทย ไม่น้อยกว่า 30% ของมูลค่าตลาดรวม 5.4 ล้านล้านบาท

เสี่ยปู่ถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังว่า ตอนที่หุ้นตกลงมาหนักๆ ไม่ว่าจะมองมุมไหน ยังไงก็ต้องซื้อ เพราะ P/E ตลาดถูกกดลงมาเหลือแค่ 7 เท่ากว่า..ยังไงตลาดก็ต้องรีบาวด์กลับ

ไม่ว่าแบงก์ชาติจะผ่อนคลายมาตรการหรือไม่ ยังไงวันรุ่งขึ้น หุ้นก็ต้องรีบาวด์

ยิ่งเมื่อรู้ว่าแบงก์ชาติหันมาปลดล็อกตลาดหุ้น แต่ยังคุมตลาดตราสารหนี้ ยิ่งมั่นใจว่าจะผลักดันให้เงินลงทุนจากตราสารหนี้ไหลกลับเข้าตลาดหุ้น..มันเหมือนการบังคับไปในตัว

เมื่อถามว่าช่วงที่หุ้นตกหนักๆ เสี่ยปู่ทำยังไง!! เซียนหุ้นพันล้านเล่าให้ฟังว่า

คิดอย่างเดียวว่า..ยังไงก็ต้องซื้อ โดยเข้าไปเก็บหุ้นเพิ่มหลายตัว ตั้งแต่หุ้น AMATA, PLE, AOT, BEC และ PRIN เป็นต้น

วันเดียว ผมใช้เงินซื้อหุ้นเพิ่มไปหลายร้อยล้านบาท ถือว่าเป็นโชคดีที่ได้จังหวะปรับพอร์ต หาซื้อหุ้นดีๆ ลงทุนระยะยาว แต่ก็ยังมีหุ้นบางตัวที่ต้องรีบขายออกไปก่อน

อย่างหุ้น AMATA ตัวนี้เก็บมาได้บ้าง..แต่น้อยไปหน่อย เพราะวันนั้นยังไม่มั่นใจสถานการณ์ ใจก็ยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่บ้าง

แต่หุ้นที่เป็นตัวเด็ด ก็คือ PLE เข้าไปเก็บได้ที่ ราคาฟลอร์ ต้นทุนถัวเฉลี่ย (กับของเดิม) อยู่ที่ประมาณ 7 บาทเท่านั้น

ซึ่งตัวนี้ผมมองดูแล้วอนาคตจะดีมาก เพราะเขากำลังขยายงานไปต่างประเทศ..รับงานเยอะ

ขณะที่หุ้น AOT เสี่ยปู่บอกว่า พยายามที่จะถือเพิ่มในช่วงที่ราคาปรับลดลง โดยไม่สนใจมากนักกับประเด็นที่กำลังถูกตรวจสอบทุจริตที่สนามบินสุวรรณภูมิ

หุ้นตัวนี้ผมยกให้เป็นหุ้นอนาคต ถ้าราคาไม่แพงเกินไป ก็จะทยอยซื้อเข้ามาอีก

เซียนหุ้นคนดังเชื่อลึกๆ ว่า ถ้าเก็บหุ้นพื้นฐานดี ระยะยาวยังไงก็กำไร และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พบว่าหุ้นพื้นฐานดีในพอร์ตหลายๆ ตัว ได้รับผลกระทบไม่มากนัก

ดูอย่างหุ้น MINT ถือว่าเป็นดาวเด่นประจำพอร์ตผมก็ว่าได้ หุ้นตัวนี้เก็บเพราะชอบมาก และตอนนี้ก็ดีดกลับขึ้นมาแล้ว

เซียนหุ้นรายนี้อธิบายต่อไปว่า อันที่จริงหุ้นในตลาดตอนนี้แทบจะเก็บได้หมด เพราะมีราคาค่อนข้างถูก แต่ก็ยังมีประเด็นด้านการเมือง จะต้องมีเสถียรภาพ ที่สำคัญรัฐบาลต้องเอื้อประโยชน์กับนักลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่านี้

เสี่ยปู่เปิดเผยว่า ล่าสุดในพอร์ตของตนเองมีหุ้นเกือบ 30 ตัว เช่น MINT, PRIN, UV, AOT และ AEONTS เป็นต้น...แต่ที่ผ่านมาก็ได้มีขายปรับพอร์ตไปบ้าง โดยเฉพาะหุ้นที่เก็บมานาน แล้วไม่ขึ้นซักที

การลงทุนของผมยังมีกำไรอยู่ อย่างหุ้น ITV ใครๆ บอกว่าผมขาดทุน จริงๆ แล้วผมมีกำไร เข้าไปเก็บตอนราคาลงแรง ช่วง 7-8 บาท พอรีบาวด์ก็รีบขายออกไป

นักลงทุนรายนี้ย้ำว่า ถ้าใครเป็นประเภท Value Investor ตัวจริง ต้องไม่พลาดเก็บหุ้นครั้งนี้ ถ้าใครมีเงินยังไงก็ต้องซื้อ เพราะเราจะได้หุ้นต้นทุนต่ำ เพียงแต่ต้องเลือกหุ้นที่ดี มีกำไรโตต่อเนื่อง ถือไว้ยังไงก็มีกำไร

ด้าน ศรีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา ชายา มาม่าบลู เซียนหุ้นรายใหญ่ระดับร้อยล้านบาท แสดงความหงุดหงิดกับมาตรการของแบงก์ชาติว่า ถ้าคุณโยนมาตรการเข้มๆ ออกมา แล้ววันรุ่งขึ้นมาบอกว่ายกเลิกมาตรการ เพราะเห็นว่าต่างชาติเทขายหุ้นออกมามาก

มันเหมือนฟาดก่อนแล้วมาปลอบกันทีหลัง อย่างงี้ถ้าเป็นคุณๆ จะกลับเข้ามาซื้อ (ลงทุน) ต่ออีกเหรอ

เธอมองโลกในแง่ร้ายว่า กว่าที่เราจะได้เห็นกองทุนต่างชาติกลับมาซื้ออีกครั้ง คงต้องรอให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพราะต่างชาติเขาคงไม่เอารัฐบาลชุดนี้แล้ว

นักเก็งกำไรรายใหญ่อธิบายต่อไปว่า เหตุการณ์ช็อกตลาดหุ้น วันที่ 19 ธันวาคม 2549 เพียงวันเดียว...ต่อให้เป็นนักลงทุนรายใหญ่หรือรายไหน จากที่เคยสะสม(กำไร)มาทั้งปี โดนงานนี้ชอตเดียว...เป็นอันหายหมด!! และเพื่อนๆ ที่รู้จักกันก็เจ็บตัวกันแทบทั้งนั้น

เห็นฝรั่งมันขายแบบว่า ขายเลิก ในเมื่อฝรั่งไม่เล่น ..แล้วเรา (นักลงทุนในประเทศ) จะไปเล่นกับใคร

เจ๊เธอยังวิเคราะห์ต่อไปว่า ตลาดหุ้นไทยหลังผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ซักระยะ หุ้นจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาเอง แต่จะไป เฟื่องฟู จริงๆ อีกครั้ง อาจต้องรอไปจนถึงปี 2556 เพราะจากประสบการณ์เล่นหุ้นมานับสิบปี ตลาดหุ้นจะดีมากๆ ในทุกๆ รอบ 1 ทศวรรษ หรือ 10 ปี

อย่างไรก็ตาม เธอเชื่อว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ คงต้องมีคนถูก ฟอร์ซเซลส์ (บังคับขาย) กันเต็มบ้านเต็มเมือง

แต่ยังโชคดีที่ฉันเป็นคนประเภทเล่นเก็งกำไรอย่างเดียว ถือยาวไม่เอา...จะซื้อขายแต่ละวันยังไงก็ไม่ขอเอาหุ้นกลับบ้าน และตอนที่มาเจอฝรั่งถล่มวันเดียวรูดลงกว่า 100 จุด เราจึงไม่ได้เข้าไปแตะในวันนั้น กลับบ้านนอนดูเฉย แค่เท่านั้นก็ไม่เจ็บตัว...ไม่ติดหุ้น เพราะฉันไม่ถือหุ้นติดมือ

มาม่าบลู บอกว่า ใครเล่นหุ้นแบบเธอ (เก็งกำไร) สบายใจที่สุด ได้นิดได้หน่อยก็พอใจแล้ว...มีเงิน มีข้าวกิน วันไหนแย่ๆ ก็กลับบ้านนอน

ส่วนความเคลื่อนไหวของเจ๊หลังจากเกิดเหตุการณ์ 19 ธันวาทมิฬ ในเมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้...ก็คงจะไม่(รีบ)เข้าไปเล่นต่อ เพราะยังไม่กล้าลุย และนักเล่นรายใหญ่ที่ชอบเก็งกำไร เขาก็คงรอดูก่อน

เมื่อต่างชาติไม่ซื้อ นักเก็งกำไรไม่ลงมาเล่น แล้วตลาดหุ้นมันจะไปต่อไกลๆ ได้ยังไง เธอว่า

ส่วนที่หลายคนมองว่าเป็นโอกาสในการ เก็บหุ้นพื้นฐาน เจ๊เธอว่า คิดอย่างนี้ระวังตัวไว้ให้ดี ต่อให้เป็นหุ้นแข็งๆ เราอาจจะ ช้อนหัก ก็ได้ เพราะฉะนั้น โดยส่วนตัวแล้ว...คำว่าหุ้นพื้นฐานก็เป็นเพียงแค่ เรื่องแต่ง ขึ้นมา เพื่อให้ง่ายต่อการเล่นหุ้นก็แค่นั้น

ฉันมันพวกนักเก็งกำไร ส่วนหุ้นพื้นฐานเป็นยังไง..ฉันไม่รู้จัก

...ดูอย่าง ปตท.สผ. (PTTEP) มีอย่างที่ไหนราคาพาร์บาทเดียว แต่เทรดกันตั้ง 90 บาท เธอกล่าวปิดท้ายว่า จำเอาไว้ว่า หุ้นเก็งกำไร ส่วนมากคนไทยมักจะเล่นกันเอง...ได้บ้างเสียบ้าง แต่ถ้าเป็น หุ้นพื้นฐาน ของส่วนใหญ่อยู่ในมือพวกกองทุนฝรั่งทั้งนั้น ก็เลือกเอาว่าอยากจะเล่นกับคนไทย หรือจะเล่นกับฝรั่ง

ด้านนักลงทุนรายใหญ่อีกคน น.พ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โรงพยาบาลปิยะเวท ประเมินว่า ถ้าเราตีซะว่านักลงทุนแต่ละคนขาดทุนเฉลี่ย 10% ของมูลค่าการซื้อขายวันนั้น 70,000 ล้านบาท ก็เท่ากับเสียหายรวมกันไปแล้ว 7,000 ล้านบาท

ส่วนต่างชาติคิดว่าไม่กระทบ เพราะพอร์ตของฝรั่งในเมืองไทยเทียบกับทั่วโลกขายไปแค่ 25,000 ล้านบาท..เล็กน้อย

ผมสงสารแต่นักลงทุนไทย เชื่อว่าหลายคนตกใจยอมตัดขาดทุนออกไปก่อน แล้วซื้อกลับไม่ได้

ส่วนตัวของหมอล่ะ ทำยังไงในวันนั้น!!

น.พ.บุญ เล่าว่า ส่วนตัวผมถือคติว่า ถ้าวันไหน SET ร่วงต่ำกว่า 40 จุด ภายในวันเดียว ต้องเก็บ

หมอบอกว่าเริ่มเข้าไปเก็บตั้งแต่ SET ร่วงลงมาช่วง 620 จุด ยิ่งตกก็ยิ่งเก็บ ไล่ซื้อมากในช่วง 580-600 จุด วันเดียวซื้อไปมากกว่า 100 ล้านบาท เน้นแต่ หุ้นบลูชิพ ตัวใหญ่ๆ อย่างเดียว เช่น หุ้นกลุ่มแบงก์ และ SCC

ณ เวลาที่คุยกับหมอ (20 ธ.ค.) หมอบุญบอกว่า หุ้นที่เข้าไปซื้อเมื่อวาน (19 ธ.ค.) ผมขายทิ้งหมดแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า ได้กำไรเฉลี่ย 18% ภายในวันเดียว

อย่าง KBANK ได้กำไรมา 26% เพราะเข้าไปเก็บตอนใกล้ๆ ฟลอร์ แต่ถ้าคิดรวมกำไรที่ทำได้ในปีนี้ (2549) ทั้งปี ได้มาแล้ว 34% ก้อนนี้ได้มาจากการเข้าไปซื้อขายในช่วงที่ตลาดหุ้นแพนิค (ตื่นตระหนก) ทุกครั้ง

ด้วยประสบการณ์ชั้นเซียน..เรียกพี่ หมอบุญวิเคราะห์ให้ฟังว่า สาเหตุที่กล้าเข้าไปเก็บ เพราะมั่นใจว่าตลาดหุ้นลงมากกว่า 100 จุด มาตรการจะต้องถูกยกเลิก

คนไทยมีนิสัยอย่างนี้อยู่แล้ว พออะไรที่มากระทบแรงๆ ก็ต้องผ่อนปรน และอีกประการคือ พื้นฐานของหุ้นไม่ได้กระทบ ถ้าเก็บไปแล้วลงอีก ผมก็ถือรอ 3-4 เดือน ช่างมัน

น.พ.บุญ ย้อนเล่าว่า ช่วงเช้าของวันนั้น ตัวเองได้โทรศัพท์ไปหาพรรคพวกที่เป็นโบรกเกอร์อยู่ที่ฮ่องกงกับสิงคโปร์ ถามหน่อยว่า ต่างชาติจริงแพนิคมั้ย! พอเขาบอกว่าไม่แพนิค แค่นั้นแหละ ช่วงบ่ายโมง ผมก็ไล่ซื้อทันที

หมอบุญเตือนว่า ใครคิดจะเลียนแบบวิธีนี้ทำได้ แต่ต้องมีเงินเย็น บางทีติดหุ้น 2-3 ปีก็ต้องยอม ส่วนสาเหตุที่ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดทิ้งทันที เนื่องจากตัวเองถือคติว่า ไม่โลภมาก เพราะตั้งแต่แรกก็ตั้งใจว่าจะซื้อเก็งกำไร ส่วนที่ซื้อลงทุนระยะยาวก็แยกออกจากกัน

ด้วยประสบการณ์ หลังจากต่างชาติกลับมาไล่ซื้อ (20 ธ.ค.) นับจากนี้จะอยู่ในช่วงแตะเบรก โดยเฉพาะช่วง 700 จุดขึ้นไป ดัชนีจะขึ้นยากแล้ว การเรียกความมั่นใจกลับคืนต้องใช้เวลา จะไม่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน..ไม่มีทาง

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2550 นั้น น.พ.บุญ ให้จับตา 4 เหตุการณ์ คือ หนึ่ง..การเมือง สอง..ดอกเบี้ย สาม..ราคาน้ำมัน และสี่..เศรษฐกิจโลก

การเมืองผมมองว่าในเดือนมกราคม 2550 จะเริ่มมีคนออกมาเรียกร้องมากขึ้น จะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น เช่นเดียวกับเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตต่ำกว่าปีนี้ เหลือ 2% กว่า คิดว่า SET ปีหน้า ไม่น่าจะเกิน 750 จุด

อย่างไรก็ตาม หากมองระยะยาว ตลาดหุ้นไทยยังถูก สามารถลงทุนได้ ใครที่ขายไปแล้ว ก็ควรซื้อรักษาระดับเดิมไว้..แต่ไม่ควรซื้อเพิ่ม

*******************************************************************

 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#1 วันที่: 23/12/2006 @ 23:26:50 : re: 19 ธันวาทมิฬ VS"เสี่ยปู่-มาม่าบลู-หมอบุญ
ต่างชาติไม่แพนิค แต่ลบเกือบทั่วเอเซีย เนอะ

.000A
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com