เกาะติดอนาคตหุ้นในพอร์ต ชัยสิทธิ์ วิริยะเมตตากุล หรือ เสี่ยอ้วน อีกนักลงทุนรายใหญ่ ที่นิยมเล่นหุ้นเป็นชีวิตจิตใจ..ขาใหญ่รายนี้เผย เอกลักษณ์ส่วนตัวก็คือ นิยมเล่นหุ้นของตัวเองมากที่สุด


-----------------------------------------------

ปีนี้ VIBHA คงจะเติบโตถึง 40% ดังนั้น ปีหน้าจะตั้งเป้าแค่ 10% ไม่ได้..ผมมองไว้อย่างน้อยๆ จะต้องโตให้ได้ซัก 20%

------------------------------------------------


โดย โรงพยาบาลวิภาวดี (VIBHA) ถือเป็นหุ้นหลักตัวเดียวที่ ชัยสิทธิ์ วิริยะเมตตากุล เข้าไปนั่งบริหาร ในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ และสามารถบริหารงานจนพาธุรกิจเข้าสู่ช่วงของการเติบโต ทั้งในด้านผลประกอบการและราคาหุ้น ที่ไต่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

กระทั่ง พี/อี ของหุ้น VIBHA ลอยขึ้นไปอยู่เกือบๆ ระดับ 25 เท่า!!

หุ้นตัวนี้ผมสร้างฐานไว้ค่อนข้างดีแล้ว และเราก็เริ่มทำธุรกิจในเชิงรุก มีการขยายงานและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง...แต่ก็จะค่อยๆ ทำไป ส่วนสาเหตุที่ราคาหุ้นของเรามันขึ้นมามาก..ก็คงเป็นไปตามสภาพผลประกอบการที่นักลงทุนเขาคาดหวังกันไว้

ชัยสิทธิ์อธิบายต่อไปว่า ปีก่อน (2548) โรงพยาบาลวิภาวดีมีกำไรสุทธิ 56 ล้านบาท แต่เมื่อต้นปี 2549 ตั้งใจว่าอยากจะให้โรงพยาบาลแห่งนี้ มีกำไรอย่างน้อยๆ 80 ล้านบาท และถึงตอนนี้ก็ยังเชื่อว่าจะทำได้มากกว่านั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าจะมามองว่าค่า พี/อี ของหุ้นมันสูงมากแล้ว...คงไม่ใช่!!! ยิ่งถ้าหากวิเคราะห์จากกำไรที่บริษัทจะทำได้ในอนาคต ตรงนั้นจะเป็นคำตอบ

คุณดูอย่างหุ้นสื่อสารช่วง 2-3 ปีก่อน พี/อี มันไปตั้งกี่สิบเท่า แล้วหลังจากนั้นตัวผลกำไรมันก็ทำให้ค่า พี/อี อยู่ในจุดที่ถูกต้อง เรา (VIBHA) ก็เช่นกัน เสี่ยอ้วนกล่าว พร้อมทั้งระบุว่า

ปีหน้า (2550) ผมจะต้องทำงานหนักมาก เพราะปีนี้เราคงจะเติบโตถึง 40% ดังนั้น ปีหน้าจะตั้งเป้าแค่ 10% ไม่ได้..ผมมองไว้อย่างน้อยๆ จะต้องโตให้ได้ซัก 20%

ยิ่งตอนนี้ VIBHA หนี้สินต่อทุน..ถือว่า ต่ำมาก เรายังขยายงานได้อีกเยอะ แต่ต้องค่อยๆ ทำเป็นโครงการไป เพราะไม่อยากทำเรื่องเพิ่มทุน

สำหรับกรณีที่สัดส่วนการถือหุ้นใน VIBHA เริ่มพบเครือข่ายของโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) เข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้น โดยถืออยู่ในชื่อของ RAM (6.82%) โรงพยาบาลเจ้าพระยา (8.51%) และบริษัท สินแพทย์ (6.14%) รวมกันแล้วประมาณ 21.47%

ชัยสิทธิ์อธิบายเหตุผลว่า ธุรกิจโรงพยาบาลจะโตคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องรวมกลุ่มแล้วทำให้กลุ่มของเราแข็งแรง ถ้าบริษัทมีพันธมิตรแล้ว...จุดแข็งจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะในเรื่องของการจัดซื้ออุปกรณ์ หรือการส่งต่อคนไข้ ถ้ามองว่าอะไรที่ทำแล้วบริษัทได้ประโยชน์ก็ต้องทำ

แต่หุ้นตัวนี้ผมยังถือมากที่สุด ย้อนกลับไปดูข้อมูลก็ได้ จะเห็นว่าผมเก็บหุ้นเพิ่มมาตั้งแต่ต้นปี 2549 นั่นเพราะเราบริหารอยู่ และเราก็เชื่อว่ากิจการของเรามันดีมีอนาคต

...อย่างนี้ถ้าไม่ซื้อหุ้นตัวเอง แล้วจะไปซื้อหุ้นใคร และที่ผมซื้อก็ซื้อเพื่อลงทุนจริงๆ เราไม่ใช่พวกปั่นหุ้นที่ทำราคาขึ้นมาแล้วก็ (หลอก) ขายทำกำไร ผมไม่เคยทำให้คนที่มาลงทุนกับเรา แล้วทำให้เขาเสียหาย เพราะชีวิตผมเกลียดพวกปั่นหุ้นมากที่สุด

เคยมีคนมาขอหุ้นเรา (VIBHA) ไปทำ...ผมยังไม่เอาเลย!!

ชัยสิทธิ์ยังเปิดเผยด้วยว่า แท้จริงแล้วตนเองมีความเชี่ยวชาญด้านพร็อพเพอร์ตี้มากกว่าธุรกิจโรงพยาบาลด้วยซ้ำ เนื่องจากเติบโตมาจากสายนี้ และเป็นเหตุผลที่เข้าไปเก็บหุ้น ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม (TFD) เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นหุ้นอีกตัวที่ตัวเองเข้าไปมีส่วนในฐานะกรรมการบริษัท

ซึ่งปัจจุบัน ชัยสิทธิ์เก็บหุ้นตัวนี้ไว้ในพอร์ตถึง 150 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 23.65%

ต้องดูให้ดีๆ ว่า มีหุ้นตัวไหนบ้างที่ราคาหุ้นต่ำกว่าพาร์ ทั้งๆ ที่บริษัทก็มีกำไรต่อเนื่อง ถ้าไม่ซื้อหุ้นอย่างนี้แล้วจะซื้อหุ้นอะไร...ตอนนี้เราทำแผนธุรกิจระยะ 5 ปี เสร็จเรียบร้อย คอยดูจะปั้นให้ TFD กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมอีกแห่งหนึ่งให้ได้

และจากนี้ไปผมจะทำให้ TFD กลายเป็น หุ้นปันผล (Dividend Stock) อีกตัวหนึ่ง

ส่วนสถานการณ์ที่ กฤษดามหานคร (KMC) ซึ่งตัวเขาถือหุ้นใหญ่อยู่จำนวน 17.50 ล้านหุ้น หรือประมาณ 3.64% แต่หลังจากที่มีการประกาศขายหุ้นเพิ่มทุน (อัตรา 1 : 1 ราคาขายหุ้นละ 1.50 บาท)

ชัยสิทธิ์เผยว่า ตัวนี้ผมจ่ายเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนไปเรียบร้อยแล้ว และก็อยากจะซื้อเพิ่มอีก ถ้าใครที่ไม่ยอมใช้สิทธิ...ผมจะซื้อไว้เอง

ที่สำคัญ เราเองก็ชอบพร็อพเพอร์ตี้ และเห็นว่า KMC ถือเป็นหุ้นที่กำลังฟื้นตัว...เพราะฉะนั้น เราจึงต้องให้โอกาสเขาหน่อย

สำหรับหุ้น พีเออี (ประเทศไทย) (PAE) ที่ผมเคยไปเหมาซื้อมา ตอนนี้ก็ยังมองว่าเขาเป็นกิจการที่ดี หุ้นก็มีอนาคต แต่เมื่อเราไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารงาน..ผมก็ถอยออกมาดีกว่า

ตอนนี้ผมขาย PAE ออกมาแล้ว 20 ล้านหุ้น...เหลืออีกราวๆ 60 ล้านหุ้น ก็คงจะขายออกมาหมด เพียงแต่ยังติดระยะไซเลนท์ พีเรียดอยู่ ถ้าครบกำหนดคงจะเห็นการทำบิ๊กล็อต เพราะมีคนต้องการหุ้นในส่วนของผมอยู่แล้ว

ชัยสิทธิ์ยังเผยด้วยว่า หุ้นตัวอื่นๆ ในพอร์ตของเขาส่วนใหญ่จะเป็น หุ้นปันผล และแต่ละตัวถือไว้นานมาก ไม่ว่าจะเป็น ไดนาสตี้ เซรามิค (DCC) รอแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม (RCI) หรือ โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป (MODERN)

รวมถึง น้ำมันพืชไทย (TVO) ซึ่งเป็นอีกหุ้นที่ เสี่ยอ้วน มองว่า เป็นบริษัทที่ดูแลผู้ถือหุ้นได้ดีมาก แม้ราคาหุ้นปีนี้จะตกลงมาหน่อย แต่ก็ยังจ่ายปันผลมาตลอด

ปีนี้ผมเก็บหุ้น RCI เพิ่มเข้ามาในพอร์ตเยอะมาก แม้กำไรของเขาจะตกลงไปบ้าง..แต่ถึงยังไงเขาก็ยังมีปันผล และอนาคตก็ยังดี แล้วเจ้าของหุ้นกับผมเองก็รู้จักกันเป็นการส่วนตัว และก็อยากเข้าไปร่วมบริหาร เพียงแต่ติดที่ว่าเราเป็นกรรมการอยู่ใน DCC...มันไม่เหมาะสม

ส่วนหุ้น กุลธรเคอร์บี้ (KKC) ก็ยังคงถือติดพอร์ตอยู่เช่นเดิม แม้กำไรปี 2549 จะลดลงมาก แต่มันจะเป็นบทเรียนของผู้บริหารบริษัทว่า การดูแลธุรกิจที่ดี..คุณจำเป็นที่จะต้องดูแล Performance ให้ดีอีกด้วย

สำหรับหุ้น แกรนด์ แอสเสท (GRAND) และ ไทย-เยอรมัน เซรามิค (TGCI)...ทั้ง 2 ตัวนี้ผมขายไปหมดแล้ว

หุ้น GRAND ผมขายหมดเลยตั้งแต่ที่เจ้าของหุ้นเขาตั้งโต๊ะรับซื้อ...ส่วน TGCI ทำให้เราผิดหวังมาก เพราะขณะที่รายอื่นในตลาดอย่าง DCC และ RCI เขามีกำไรกัน แต่ TGCI กลับบริหารงานขาดทุนติดต่อกันหลายปี เหตุผล (สร้างเตาเผาใหม่) ก็ฟังไม่ขึ้น...ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้ ผมไล่เขาออกไปนานแล้ว เสี่ยอ้วนกล่าวแบบฉุนๆ

ขอบคุณครับ

.0007

เสี่ยแกทำอะไรมาก่อนน่ะ คงจะมีเงินเยอะมากๆเพราะถือหุ้นอยู่หลายบริษัทแถมเยอะๆทั้งนั้น แล้วหุ้นที่แกถือก็ปั่นเอ๊ย..ปั้นมากะมือ.......เก่งมั่กๆๆๆ ในการปั่นเอ๊ยปั้น .0008

แก่ถึงชื่อ เสี่ยอ้วน ไงครับ เงินเยอะจนอ้วนเลย

.0008 .0008 .0008