May 6, 2024   1:13:59 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เปิดกรุสมบัติ "ประยุทธ มหากิจศิริ
 

????
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 1,238
วันที่: 30/12/2006 @ 20:31:14
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ผมจะทำธุรกิจที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน แล้วเป็นธุรกิจดาวรุ่ง คือ พระอาทิตย์ขึ้น อย่าไปแตะธุรกิจที่พระอาทิตย์ตก ผมชอบจับธุรกิจขาขึ้น แล้วไม่มีอะไรมาทดแทน ในขณะเดียวกัน วิธีบริหารก็ต้องหาบุคลากรที่เก่งมาทำงานรายวัน แล้วมีการสร้างระบบให้มันเดินไปเอง นี่คือ Key to Success ที่ ประยุทธ มหากิจศิริ เคยเล่าให้ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟัง



เสี่ยเนสกาแฟ ยัง(เคย)บอกด้วยว่า ตั้งแต่เกิดมาก็ คาบช้อนเงินช้อนทอง มาเกิดแล้ว เพราะครอบครัวมหากิจศิริ ในนาม กลุ่มบริษัทกวงไถ่ รวยแบบยั่งยืนมานานแล้ว และตัวเขาก็มีดีกรีจบปริญญาตรี บริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา

ล่าสุด วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการจัดอันดับ 500 เศรษฐีหุ้นไทย ประจำปี 2549 ปรากฏว่า ตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย ยังตกเป็นของอดีตแชมป์เก่า อนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

ตามติดมาด้วยเศรษฐีหุ้นหน้าใหม่ อันดับ 2 ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของพฤกษาเรียลเอสเตท แต่คนที่โผล่ขึ้นมาติดเศรษฐีหุ้น อันดับ 3 กลายเป็น เสี่ยประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าพ่อเนสกาแฟ วัย 62 ปี ก้าวกระโดดขึ้นมาจากอันดับ 10 เมื่อปีที่แล้ว

ประยุทธ ครอบครองหุ้นรวมมูลค่า 5,164 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,970 ล้านบาท หรือ 61.68% ซึ่งเป็นผลจากราคาหุ้นของ บมจ.ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ (TFI) ที่ประยุทธถืออยู่ในสัดส่วน 38.67% เพิ่มขึ้นถึง 357% นอกจากนี้ ประยุทธยังถือหุ้น บมจ.ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส (INOX) 24.20% บมจ.สหมิตรเครื่องกล (SMIT) 1.28% และ บมจ.ไทย โอ.พี.พี. (TOPP) 2.51%

แต่ใครๆ ก็รู้ว่า ประยุทธ มีมากกว่านี้ (5,164 ล้านบาท) มากนัก เพราะเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนั้น นิตยสารฟอร์บส์เอเชีย เพิ่งจัดอันดับนักธุรกิจไทยที่ ร่ำรวยที่สุด 40 คน ปรากฏว่าประยุทธ และครอบครัว ติดอันดับ 12 ของประเทศ

ครอบครองทรัพย์สินมูลค่า 365 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 13,140 ล้านบาท แซงหน้า อนันต์ อัศวโภคิน ที่มีสินทรัพย์ 360 ล้านดอลลาร์ แบบเฉียดฉิว

มีรายงานว่า ปัจจุบัน เสี่ยประยุทธใช้ชีวิตสุขสบายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่สุด บนเนื้อที่ 7 ไร่ ในโครงการ กรีนวัลเลย์ ถนนบางนา-ตราด มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท และมีเพนท์เฮ้าส์สุดหรู ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในโครงการ พีเอ็ม ริเวอร์ไซด์ คอนโดมิเนียม ย่านถนนพระราม 3

ขณะที่บ้านหลังเดิม ย่านถนนจรัญเมือง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน ใช้เป็นที่ตั้งของออฟฟิศส่วนตัว ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ บริษัท พี.เอ็ม.กรุ๊ป และ บริษัท ที-คอฟฟี่ ของอุษณีย์ มหากิจศิริ (บุตรสาว) ที่ร่วมกับกลุ่มเพื่อน ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และ ธีร์ภัทร สูตะบุตร เปิดขายอาหาร และร้านกาแฟ

ประยุทธยังครอบครองรถยนต์แพงระยับแห่งยุค อาทิเช่น เฟอร์รารี่ ทะเบียน 9ษ-6456 และ เบนท์ลีย์ ทะเบียน 3ฮ-2222 ยังไม่นับรวมรถยนต์ราคาแพงอีกจำนวนมาก

ส่วน เงินสด นั้น กล่าวกันว่าเพื่อความปลอดภัยและความลับสุดยอด เสี่ยประยุทธ และ สุวิมล ภรรยา ได้ฝากเงินก้อนใหญ่ไว้กับ ธนาคารซิตี้แบงก์ และ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด สาขาประเทศไทย

ขณะเดียวกันก็กระจายเงินฝากไว้กับธนาคารในประเทศ อาทิเช่น ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในสัดส่วนที่ลดหลั่นกันลงไป

สิ่งที่น่าสนใจ นอกเหนือจาก หุ้น ที่ครอบครัวมหากิจศิริชอบสะสมแล้ว เขายังชอบสะสม ที่ดิน ไว้เป็นจำนวนมาก

โดยพบว่าเน้นเฉพาะที่ดินในอำเภอบางละมุงและอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ที่ดินในพื้นที่อำเภอบางพลี(ใหญ่) และอำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ ที่ดินบริเวณอำเภอบางปะกง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว และอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา สะสมไว้เป็นจำนวนมาก

สำหรับแหล่งรายได้สำคัญของประยุทธอีกแหล่งหนึ่ง ก็คือ เนสกาแฟ ธุรกิจที่มีส่วนแบ่งกำไร เข้ากระเป๋าปีละไม่ต่ำกว่า 800-900 ล้านบาท สม่ำเสมอ และเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี

ไม่น่าเชื่อว่าธุรกิจที่ขายอรรถรสบวกความเคยชินของคอกาแฟ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน จะสร้างเงินอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไม่ว่าเศรษฐกิจจะฮึกเฮิม หรืออ่อนล้าเพียงใด

เนสกาแฟ จดทะเบียนภายใต้บริษัทควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส ก่อตั้งเมื่อปี 2532 เป็นตัวแทนจำหน่ายเนสกาแฟ เพียงรายเดียวในประเทศไทย ถือหุ้นใหญ่ 50% โดยฝ่ายเนสท์เล่ เอส.เอ.ประเทศเนเธอร์แลนด์ อีก 50% ถือหุ้นโดยกลุ่มมหากิจศิริ ในสัดส่วนเท่ากัน

ธุรกิจนี้ดูเหมือนว่าประยุทธจะวางไว้ให้กับลูกชายเพียงคนเดียว กึ้ง เฉลิมชัย มหากิจศิริ เพราะถือหุ้นมากที่สุด 24.80% สุวิมล มหากิจศิริ ภรรยา ถือหุ้น 22% ประยุทธ 1.60% อุษณีย์ และอุษณา มหากิจศิริ บุตรสาวทั้ง 2 คน ถือหุ้นรวมกันเพียง 1.60%

ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (2546-2548) ธุรกิจนี้ ยิ่งคอกาแฟดื่มด่ำกับรสชาติของกาเฟอีนสีดำมากเท่าไร ย่อมเป็นชัยชนะทางธุรกิจสำหรับประยุทธมากเท่านั้น

ปี 2546 เนสกาแฟมีรายได้รวม 7,252 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,863 ล้านบาท ปี 2547 มีรายได้รวม 7,462 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,677 ล้านบาท ปีล่าสุด 2548 มีรายได้รวม 8,668 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,994 ล้านบาท

ครึ่งหนึ่งของ กำไร ในแต่ละปี จะไหลเข้ากระเป๋า ประยุทธ ไม่ขาดสาย

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2548-2549) ความมั่งคั่งของประยุทธ เฟื่องฟูขึ้นอย่างมาก ไม่ใช่จากเนสกาแฟ แต่จากหุ้น บมจ.ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส (INOX) แหล่งรายได้ขุมใหม่ ที่เสี่ยเนสกาแฟเร่ง โยกเงิน จากกระเป๋าบริษัทมาเข้ากระเป๋าตัวเอง..ในอัตราเร่ง

นับตั้งแต่ เอาหุ้นเดิม INOX พ่วงขายรวมกับไอพีโอ ที่ราคา 2.10 บาท ได้เงินกลับออกไป 4,452 ล้านบาท จากนั้นก็ประกาศจ่ายปันผลมาแล้ว 3 ครั้ง รวม 0.275 บาทต่อหุ้น ได้เงินออกไปอีก 1,445 ล้านบาท

ล่าสุดนำหุ้น INOX ส่วนตัว 1,200 ล้านหุ้น หรือ 15% ขายให้กับ บริษัท POSCO ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเหล็กกล้าไร้สนิมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เกาหลีใต้ ในราคา 1.67 บาท ได้เงินมาอีก 2,004 ล้านบาท

สรุปก็คือ เฉพาะหุ้น INOX ตัวเดียว ในช่วง 2 ปี เสี่ยประยุทธกวาดเงินจากกระเป๋าซ้าย เข้ากระเป๋าขวา (ส่วนตัว) ไปแล้ว 7,901 ล้านบาท..แบบเนียนๆ

ขณะที่ผู้จองซื้อหุ้น INOX ที่ราคาไอพีโอ 2.10 บาท พากันเจ๊งหุ้นย่อยยับ เพราะตั้งแต่หุ้นเข้ามาเทรด หุ้นหล่นต่ำกว่าราคาจองมา..ยังไม่เคยพ้นน้ำเลย

สตอรี่ใหม่ของประยุทธ ในปี 2550 ให้จับตาการนำหุ้น บมจ.ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ (TCI) เข้าตลาดหุ้น ล่าสุดครอบครัวมหากิจศิริ เข้าไปถือหุ้นไว้แล้ว 61.82%

หุ้นตัวนี้จะทำเงินให้กับกระเป๋าของครอบครัวนี้ ตุง มากกว่าหุ้น บมจ.ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส (INOX) เสียอีก...ไม่เชื่อคอยตามดู

------------------------------------------------


๐ มีคนสงสัยว่าทำไมคุณประยุทธหวงไม่ยอมเอา เนสกาแฟ เข้าตลาดหุ้น

เราไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน อันนี้เป็นกฎข้อแรกของภรรยาผม (สุวิมล มหากิจศิริ) คือ ไม่เอากาแฟเข้าตลาดหลักทรัพย์...นายใหญ่ (ภรรยา) ผมสั่งเด็ดขาด

๐ ประเมิน Asset ตัวเองหน่อยว่าตอนนี้รวยกี่หมื่นล้านแล้ว

ไม่รู้ๆๆ...ตัวเองจะมีเท่าไรก็ต้องทำประโยชน์ต่อสังคม อย่าเอาเงินแช่ไว้เฉยๆ ต้องเอาเงินมาพัฒนา มาลงทุน ดูซิ!!..ผมสร้างงาน สร้างเงินทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน สังคมก็ได้ประโยชน์ ประเทศชาติก็ได้ประโยชน์ ผมเป็นลูกจ้างที่ซื่อสัตย์ที่สุดของรัฐบาล (จ่ายภาษีให้รัฐบาล) เพราะฉะนั้นมีเงินก็ต้องเอาไปลงทุน

๐จริงๆ แล้วอยากให้สังคมมองคุณประยุทธอย่างไร?

มองผมยังไงก็ได้ แต่ข้อสำคัญคือตัวเราต้องทำตัวให้ถูกต้อง ส่วนสังคมจะค่อนขอดก็ว่ากันไป ให้เขาว่าไปเถอะ เพราะเราไม่ได้ทำอะไรอย่างที่เขาพูด...พูดตรงๆ แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว ความสุขที่สุดของผม...ทำได้เท่าไรก็พอใจเท่านั้น ถ้าพูดถึงความสุขเรื่องเงิน ไอ้ผมมันมี (รวย) อยู่แล้ว มีมาตั้งแต่เกิดเลย

หมายเหตุ: มาจากบางส่วนของบทสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2547

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com