May 6, 2024   2:55:33 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น รับปีใหม่มาแล้วค้า********
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 03/01/2007 @ 09:08:09
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อ BAFSราคาเป้าหมาย 12.65
คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/2549 อยู่ที่ 115 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.27บาทต่อหุ้นแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2549 ดีต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากปริมาณน้ำมันที่ให้บริการเพิ่มขึ้น ตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าการให้บริการเติบน้ำมันที่สนามบินดอนเมืองจะลดลง รวมทั้งรายได้จากค่าเช่าท่อ และคลังน้ำมันจะลดลงก็ตาม อัตราค่าธรรมเนียมที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 2.74 เซ็นต์ต่อแกรอนเป็น 5 เซ็นต์ต่อแกรอน โดยแยกเป็น ราคาน้ำมันที่ให้บริการ 3.3 เซ็นต์ต่อแกรอนและค่าผ่านท่อ อีก 1.7 เซ็นต์ต่อแกรอน ซึ่งเราคาดว่าน่าจะทำให้ผลประกอบการไตรมาส 4/2549 ของบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 115 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.27 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 61% YoY และ 6% QoQ ปริมาณการให้บริการเติบน้ำมันในเดือน พ.ย. 2549 อยู่ที่ 368 ล้านลิตร หรือเฉลี่ยวันละ 12.28 ลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 4%mom และ 6% yoy ยังมีแนวโน้มเติบต่อเนื่อง ส่วนผลประกอบการปี 2549 บริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 459 ล้านบาทกำไรต่อหุ้น 1.08 บาท เพิ่มขึ้น 10% YoY ขณะที่เรามองว่าในปี 2550 บริษัทมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปริมาณการให้บริการที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราคาดว่าผลประกอบการปี 2550 ของบริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 566 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23%yoy กำไรต่อหุ้น 1.33 บาทต่อหุ้น แม้ว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะเพิ่มขึ้นแต่เรามองว่าการเพิ่มขึ้นของปริมาณการให้บริการเติมน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าธรรมเนียมในการให้บริการที่เพิ่มขึ้น จะเป็นส่วนชดเชย ขณะที่ค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น ไม่กระทบกระแสเงินสดของบริษัท

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ CPFราคาเป้าหมาย 5.90 บาท
ธุรกิจไก่ส่งออกของ CPF ยังมีแนวโน้มเติบโตดีจากการที่บริษัทมีรายได้ 4-5% ของรายได้รวมมาจากไก่ปรุงสุกส่งออกไปสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งจะได้รับผลบวกจากการที่ไทยได้โควต้าไก่ปรุงสุกส่งออกมากกว่าคาดขณะที่อัตราภาษีสำหรับไก่ส่งออกในโควต้าก็ลดลงจาก 10.9% เป็น 8.0% อีกด้วย สำหรับธุรกิจไก่ที่ตุรกีในปี 2550 ก็คาดว่าจะดีขึ้นเป็นลำดับหลังจากได้รับผลกระทบจากไข้หวัดนกทำให้ผลประกอบการเป็นขาดทุนในปี 2549 ธุรกิจกุ้งคาดว่าจะขยายตัวดีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการส่งออกและธุรกิจอาหารกุ้งในอินเดียและมาเลเซียนอกจากนั้นบริษัทยังจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศจีนด้วยการตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ภายในไตรมาส 1/50 เพื่อทำฟาร์มเพาะฟักลูกกุ้ง ซึ่งเป็นการขยายฐานธุรกิจเพื่อเสริมธุรกิจอาหารสัตว์และพันธุ์สัตว์ของบริษัทที่มีอยู่แล้ว การขยายธุรกิจดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้บริษัทในระยะยาว คาดการณ์ว่าในปีนี้ CPF จะมีกำไรปกติ 2,751 ล้านบาท (0.37 บาท/หุ้น) ลดลง 52% จากปีก่อนทั้งนี้เนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ในประเทศที่ลดลง อย่างไรก็ตามเราคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/49 และเติบโต 35% ในปี 2550เป็น 3,708 ล้านบาท (0.49 บาท/หุ้น) นอกจากนั้น CPF ยังน่าสนใจในแง่ของการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอทุกไตรมาส โดยเราประเมินอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 5-7%ต่อปี

บล.เอเซียพลัสแนะนำถือ KTBราคาเป้าหมาย 13.05 บาท
ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อสุทธิใน 4Q49 ยังค่อนข้างทรงตัว โดยคาดว่าจะเติบโตเพียง1% qoq โดยรวมแล้ว สินเชื่อทั้งปี 2549 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.1% yoy ต่ำกว่าเป้าหมายทั้งปี 2549 ที่ฝ่ายวิจัยประเมิน 4% yoy (KTB ตั้งเป้าสินเชื่อสุทธิปี 2550 เติบโตต่อเนื่อง 6-7% yoy) ส่วน NIM คาดว่าจะอ่อนตัว 25bp เหลือ 3.90% ในงวดนี้ ผลจากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ยังทยอยปรับตัวขึ้น รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการคาดว่าจะลดลง 33.4% qoq เนื่องจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมค้างรับจากโครงการ GFMIS ที่บันทึกเข้ามามากใน 3Q49 สำหรับค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยใน 4Q49 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 28.3%qoq ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินเผื่อไว้สำหรับการด้อยค่าของสินทรัพย์หรือขาดทุนอื่นๆ ที่เกิดขึ้นนอกจากความคาดหมาย ฝ่ายวิจัยประเมินว่า KTB จะรายงานขาดทุนสุทธิราว 70 ล้านบาทใน4Q49 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการตั้งสำรองหนี้ฯ มูลค่า 5.30 พันล้านบาท ผลกระทบจากเกณฑ์ IAS 39 ในส่วนของ NPL ที่อยู่ระหว่างดำเนินคดีจำนวน 3 หมื่นล้านบาทอย่างไรก็ตาม ในแง่กำไรจากการดำเนินงาน 4Q49 พบว่าเพิ่มขึ้น 6.3% qoq อันเป็นผลจากภาระภาษีเงินได้ที่ประหยัดได้เนื่องจากการรายงานผลขาดทุนสุทธิดังกล่าว ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2549-2550 และ Fair value เดิมที่อิง PBV 1.5เท่าคือ 13.05 บาท เนื่องจากได้มีการปรับปรุงประมาณการเพื่อสะท้อน หลักเกณฑ์ IAS 39 ไปแล้ว จากการเข้าพบผู้บริหารในครั้งก่อนหน้า โดยราคาหุ้นปัจจุบันมีUpside เหลือเพียง 9%

บล.เคจีไอแนะนำ LHราคาเป้าหมาย 7.5 บาท
ราคาหุ้นลดลงมากและเทรดที่P/E เพียง 15-17 เท่า จากเดิมที่ 20-22 เท่า หลังจากธปท.ใช้มาตรการจำกัดเงินทุนต่างชาติ ระยะสั้นในวันอังคารที่ ผ่านมา แม้ว่า LHจะเทรดที่premium เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น เรามองว่าไม่น่าแปลกใจ เนื่องจาก LHถือเป็นproxyที่ดีของอุตสาหกรรม เรามองว่า ผลประกอบการ LH ได้ตำสุดในไตรมาส 3/49 แล้ว และมีแนวโน้มจะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/49เป็นต้นไป โดยคาดยอดขายในไตรมาส 4/49จะอยู่ที่5.5พันล้านบาท โตขึ้น 41% QoQ เนื่องจากยอดขาย grand sales 2 วันในเดือนต.ค.ค่อนข้างประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม LHได้ขายdiscount10-15%เพื่อเพิ่มยอดขายทาให้อัตรากำไรขั้นต้นลดจาก 32.6%ในไตรมาส 4/48 เป็น 30.5%เราคาดยอดขายจะโตขึ้นมากในปี 50 เนื่องจากยอดขายบ้านเดี่ยว เทาวเฮาส์และคอนโดฯเริ่มฟื้นตัว โดยเราคาดว่ารายได้ในปี 50 จะอยู่ที่ 2.18 หมื่นล้านบาทซึ่ง 87% มาจากยอดขายของบ้านเดี่ยว และส่วนที่เหลือจากยอดขายเทาวเฮ้าส์และคอนโดฯ สำหรับปี 50 LH มีแผนจะบุกตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางและล่างที่ราคาเฉลี่ย 3-5 ล้านบาท เนื่องจากกำลังซื้อของลูกค้าเริ่มลดลงเรามองว่ากลยุทธ์ของ LH ถูกทาง เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางและล่างเป็นตลาดที่มีการฟื้นนตัวสูงสุด คาดกำไรจากการดำเนินงานตามปกติในปี 50โต 32%แม้จะคาดว่ายอดขายป 50 จะอยู่ ที่ 2.17 หมื่นล้านบาท โต 24% เรายังเชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะค่อนข้างคงที่ประมาณ 31.9% เมื่อเทียบกับปี 49 ที่ 31.3%เนื่องจากราคาปรับเพิ่มได้ ไม่ มากและต้นทุ นการก่อสร้างที่สูงขึ้น อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดวาจะสูงที่ 1.7พันล้านบาท หรือ 7.9%ของยอดขายรวม เนื่องจากมีแผนที่จะเพิ่มงบโฆษณามากขึ้น ให้สามารถแข่งกับคู่แข่ง เช่น SIRI และ NOBLE ได้ ดังนั้น เราคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานตามปกติในปี 50จะอยู่ที่ 3.7 พันล้านบาท โตขึ้น 32% เมื่อเทียบกับ 2.8 พันล้านบาทในปี 49






[/color:36b0a11124">[/size:36b0a11124">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com