May 5, 2024   9:07:39 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตลาดหุ้นปีกุน..ไม่หมู ต่างชาติเมิน-การเมืองร้อน
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 03/01/2007 @ 09:29:16
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ฟันธงตลาดหุ้นต้นปี 2550 นักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาลงทุนในระยะสั้น แหยงมาตรการ ธปท. ลดเป้าดัชนีลง 100 จุด เหลือสูงสุดแค่ 780 จุด แต่ประเมินภาพรวมยังเป็นบวก จากปัจจัยผลกำไร บจ. เติบโต ค่าพีอีหุ้นไทยต่ำน่าลงทุน และความหวังแผนงานการลงทุนภาครัฐ ?เมกะโปรเจกต์? ให้น้ำหนักปัญหาทางการเมืองบั่นทอนลงทุน แนะนำหันมาลงทุนหุ้นขนาดเล็ก

บรรดานักวิเคราะห์ประเมินเป็นเสียงเดียว ปัจจัยกระทบตลาดหุ้นต้นปี 50 ยกให้มาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท และปัญหาการเมืองเป็นสำคัญ ที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ ประเมินกรอบดัชนีเคลื่อนไหว 680 - 780 จุด ด้วยแรงหนุน ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ระดับค่าพีอีต่ำอยู่ระหว่าง 9 - 11 เท่า และสภาพคล่องในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยที่คาดจะลดลง และจากเงินทุนไหลเข้า

ต้นปีต่างชาติยังไม่กลับมาลงทุน
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH เปิดเผยว่า การลงทุนในช่วงต้นปี 2550 ลักษณะการซื้อขายน่าจะใกล้เคียงกับการซื้อขายในช่วงสิ้นปี โดยดัชนียังคงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศยังไม่กลับมาลงทุนในระยะสั้น บางส่วนกลับมาซื้ออาจเป็นเพราะกลับมาจากการหยุดพักยาวในช่วงปีใหม่ ประกอบกับการปิดงบบัญชีสิ้นปี (Window-dressing) ผ่านไปแล้ว ทำให้ปัจจัยที่จะมีผลต่อการซื้อขายในช่วงปีใหม่ไม่มากนัก ทั้งนี้ปัจจัยหลักยังคงขึ้นอยู่กับท่าทีของนักลงทุนต่างประเทศ

คาดว่าดัชนีสิ้นปี 50 น่าจะอยู่ที่ 760-780 จุด จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ 800- 810 จุด เนื่องจากฐานในปี 49 ดัชนีปรับลดลงจากมาตรการการสกัดการเก็งกำไร ในค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนปัจจัยอื่นๆ ถือว่าเป็นไปตามความคาดหมายเดิมทั้งเรื่อง อัตราดอกเบี้ย การเมือง ราคาน้ำมัน เม็ดเงินจากต่างประเทศ แต่อาจมีปัจจัยใหม่ที่คาดไม่ได้เข้ามา

มองภาพรวมหุ้นปี50 ยังเป็นบวก
น.ส.สิริณัฎฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด(มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวให้ความเห็นถึงแนวโน้มตลาดหลักทรัพย์ในปี 2550 ว่า ปัจจัยโดยรวมน่าจะยังคงเป็นบวก ทั้งเรื่องของดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มที่ลดลง ทั้งในประเทศ และอเมริกา และราคาน้ำมัน แม้จะไม่ลงมามาก แต่ไม่น่าจะปรับตัวขึ้นแรง ขณะที่ความเสี่ยงยังคงเป็นปัจจัยเรื่องการเมืองที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเลือกตั้งว่า จะมีหน้าตาของรัฐบาลเป็นแบบไหน รวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ ในเรื่องนโยบายทางภาครัฐบาล ตลอดจนโครงการเมกกะโปรเจกต์ว่า จะสามารถผลักดันการลงทุนได้จริงหรือไม่

ขณะเดียวกัน ในช่วงต้นปีน่าจะมีลุ้น January Affect แม้จะมีกระแสเงินจากนักลงทุนต่างประเทศออกไปหลังวันที่ออกมาตราสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่จะยังคงมีนักลงทุนต่างประเทศบางกลุ่มยังถือเงินรอลงทุนจากการที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามากแล้ว ยังคงประมาณการดัชนีปี 50 ไว้ที่ 800 จุดเช่นเดิม ส่วนปริมาณการซื้อขายน่าจะอยู่ที่ประมาณ 16,500-17,000 ล้านบาท

ความหวังแผยงานการลงทุนภาครัฐ
นายสุเมฆ จันทราสุริยารัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานค้าหลักทรัพย์สถาบันและงานวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยปี 2550 ขึ้นอยู่กับแผนงานการลงทุนภาครัฐเป็นสำคัญ หากทำได้ตามแผนที่วางไว้ จะเริ่มลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ๆได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 และมีการลงทุนอื่นๆอีกอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง มองว่าตลาดหุ้นไทยปี 50 น่าจะแกว่งตัวที่ระดับ 680-720 จุด ในช่วงไตรมาส 1 หรือหากมีปัจจัยลบมากระทบ ไม่น่าจะหลุดต่ำกว่า 660 จุด หลังจากนั้น หากนโยบายทางเศรษฐกิจมีการประกาศออกมาอย่างชัดเจน และเป็นไปตามที่นักลงทุนคาดหวังเชื่อว่า ระดับดัชนีอาจขึ้นไปอยู่ที่บริเวณ 800 จุด ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ในทางกลับกันหากโครงการต่างๆไม่เป็นไปตามคาดตลอดปี 50 ระดับดัชนีไม่น่าเกิน 720 จุด ส่วนราคาน้ำมันมองว่า ในปีหน้าราคาน้ำมันจะไม่แกว่งตัวมาก โดยจะอยู่ที่ระดับ 60-65 เหรียญต่อบาร์เรล นับว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตส่งออก จะมีผลดีต่อธุรกิจต่างๆ ทำให้กำหนดต้นทุนได้ชัดเจนขึ้น

ลดเป้าดัชนีหุ้นปี 50 ลง 100 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ประเมินว่า ได้มีการปรับลดเป้าดัชนีปี 50 ลง 100 จุด จากเดิมที่วางไว้ 880 จุดให้เหลือเพียง 780 จุด หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ซึ่งทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนลดลง โดยพบว่านักลงทุนต่างประเทศส่วนใหญ่ไม่พอใจกับมาตรการดังกล่าว และเกิดแรงเทขายออกมา รวมถึงยังกังวลว่าจะมีมาตรการออกมาอีกในอนาคตหรือไม่ แต่คาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรกว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาเช่นเดิม ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปี 50 ไม่น่าเกิด January Effect หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นมาแล้ว 6 เดือน โดยหาก 17 มกราคมนี้ ทาง ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นประเด็นจุดพลุให้ดัชนีเด้งกลับมาทะลุ 700 จุดได้อีกครั้ง

ให้น้ำหนักปัญหาทางการเมือง
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัท หลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า ปัจจัยที่จะเป็นผลกระทบต่อการลงทุนในปี 50 คือปัญหาทางการเมือง และใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงกระแสคลื่นใต้น้ำที่ยังถือว่า เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อจิตวิทยาเชิงลบ ขณะที่ความเสี่ยงในเรื่องโรคระบาดอื่นๆ เช่น ไข้หวัดนก ยังไม่สามารถประเมินความเสี่ยงได้ ส่วนปัจจัยภายนอก ได้แก่ ราคาน้ำมันที่น่าจะทรงตัวในระดับประมาณ 50-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และไม่ถือว่าเป็นผลกระทบมากต่อภาคการลงทุน

สำหรับปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็น อัตราเงินเฟ้อที่น่าจะลดลง อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่น่าจะสามารถปรับขึ้นได้แม้ว่าอัตรา ดอกเบี้ย RP 14 วันอาจจะปรับลดลง รวมถึงการคาดการณ์ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่น่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตประมาณร้อยละ 7 มาอยู่ที่ 5.43 แสนล้านบาท

แนะนำให้ลงทุนหุ้นขนาดเล็ก
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด หรือ ASL ให้ความถึงแนวโน้มตลาดหุ้นปี 2550 ว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์ปี 50 น่าจะโตประมาณ 3% โดยหุ้นขนาดใหญ่ไม่น่าจะมีการเติบโตได้มาก อย่างกลุ่มพลังงานที่น่าจะมีการเติบโตเพียง 1% และกลุ่มธนาคารน่าจะมีการเติบโตเพียง 7% แต่หุ้นที่น่าจะได้รับความนิยมได้แก่หุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็กนักลงทุนน่าจะเข้ามาเก็งกำไรกันมาก ขณะเดียวกัน ประเด็นเรื่องมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมา แม้ได้มีการผ่อนปรนให้กับตลาดทุน แต่เชื่อว่าน่าจะส่งผลให้ความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศยังมีต่อเนื่อง จากช่วงปลายปี 49 จนถึงประมาณครึ่งแรกปี 50 ประกอบกับเรื่องของเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะสามารถเติบโตได้ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 4.5% หรือไม่ เนื่องจากยังคงมีปัจจัยทางด้านการเมือง ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่กดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงประเมินดัชนีในกรอบแนวต้านที่ 720 จุด ส่วนแนวรับน่าจะอยู่ที่ 650 จุด




.00020

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com