May 5, 2024   8:05:40 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ปีใหม่ฟ้าใส พลังงาน?..ธุรกิจไฟฟ้า น้ำมัน คึกคัก
 

Toon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 973
วันที่: 03/01/2007 @ 09:42:37
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

?กลุ่มพลังงาน? ด้านธุรกิจน้ำมันยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามความต้องการใช้ของผู้บริโภค และการเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ส่วนกลุ่มโรงกลั่นเริ่มแน่น ความต้องการชะลอตัวลง แต่กำลังผลิตยังมีเพิ่มขึ้น ขณะที่ด้านอุตสาหกรรมไฟฟ้ายังขยายตัวตามแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) อีกทั้งความต้องการโรงไฟฟ้าใหม่ของไทยในปี 2553 ช่วยสนับสนุน โบรกฯมองธุรกิจปิโตรเลียมหลายปัจจัยฉุด แต่ธุรกิจไฟฟ้าคึกคัก ขณะที่ด้านเทคนิคแนะนำ ?ลดการลงทุน?

นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่าแนวโน้มภาพรวมของธุรกิจพลังงานในปี 2550 บริษัทคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันของโลกจะเติบโตประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยส่วนใหญ่จะมาจากจีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา และตะวันออกกลาง เนื่องจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงบ้างในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา รวมทั้งการเจริญเติบโตในภาคการก่อสร้าง อุตสาหกรรม และการขนส่ง ของจีนที่อยู่ในระดับสูงมาก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โอลิมปิกเกมส์ในปี 2551 ขณะเดียวกันอุปทานน้ำมันดิบของโลกจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากในปีหน้าเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของประเทศนอกกลุ่มโอเปก โดยคาดการณ์ว่าจะมีการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากแท่นขุดเจาะน้ำมันใหม่ที่จะแล้วเสร็จ ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม ประมาณ 3.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดิบจากกลุ่มประเทศโอเปกลดลง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปริมาณกำลังการผลิตน้ำมันดิบสำรองจะเพิ่มขึ้นจากปี 2549 แต่ยังคงอยู่ในระดับประมาณ 1-2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบกับปริมาณเฉลี่ยในช่วงปี 2534- 2540 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้ตลาดน้ำมันยังคงมีความผันผวนสูง หากมีปัญหาเกิดขึ้นในประเทศส่งออกน้ำมันอย่างเช่น อิหร่าน และไนจีเรีย

?ในส่วนของโรงกลั่น บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นประมาณ 5 แสนบาร์เรลต่อวัน ในเอเชียในปี 2550 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากจีนถึง 3.5 แสนบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตามอุปสงค์น้ำมันสำเร็จรูปของจีนน่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 5-6% หรือประมาณ 4 แสนบาร์เรลต่อวัน จึงน่าจะสามารถรองรับอุปทานภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นในปีหน้าได้ โดยภาพรวมราคาน้ำมันดิบโลก และน้ำมันสำเร็จรูปที่สิงคโปร์ในปี 2550 ยังคาดว่าจะแกว่งตัวในระดับสูง เนื่องจากกำลังการผลิตน้ำมันดิบสำรอง และกำลังการกลั่นน้ำมันสำเร็จรูปยังคงอยู่ในภาวะตึงตัวต่อไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

ส่วนภาพรวมธุรกิจไฟฟ้า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศยังคงเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลมีแผนที่จะประกาศเชิญผู้สนใจเข้าร่วมประมูลในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าจากภาคเอกชนรายใหญ่ (IPP) รอบใหม่ ในเดือนเมษายน 2550 ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan : PDP) ของประเทศฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยคาดว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมจะอยู่ระหว่าง 3,000 ? 4,000 เมกะวัตต์ ในปี 2554 ? 2556?

นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บมจ.ปตท. หรือ PTT กล่าวว่า ค่าการตลาดน้ำมันในปี 2550 น่าจะขยับดีขึ้น จากการที่รัฐบาลมีนโยบายปล่อยให้ราคาน้ำมันสะท้อนข้อเท็จจริงมากที่สุด ขณะที่ราคาน้ำมันตลาดโลกจะอยู่ในระดับใกล้เคียง 60 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลซึ่งไม่ได้เป็นเกณฑ์ที่ปรับสูงมากเหมือนในปี 2549 จึงคาดว่าปีหน้า ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของ ปตท.จะอยู่ในเกณฑ์มีกำไรเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี หลังจากที่ในปี 2549 คาดว่าจะขาดทุนประมาณ 2,300 ล้านบาท จากค่าการตลาดเฉลี่ยที่ได้เพียง 90 สตางค์/ลิตร และปี 2548 ขาดทุน 3,000 ล้านบาท จากค่าการตลาดเฉลี่ยที่ได้เพียง 60 สตางค์/ลิตร โดยในปีหน้ากลยุทธ์ของการค้าน้ำมันจะเน้นเรื่องธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (non oil) มากขึ้น และทุกค่ายจะเข้ามาแข่งขันเรื่องนี้ ซึ่ง ปตท.ได้เตรียมเพิ่มร้านอาหาร ร้านค้า และร้านค้าสะดวกซื้อ (คอนวีเนี่ยนสโตร์) ของเซเว่นอีเลฟเว่น โดยจะเพิ่มร้านเซเว่นฯในสถานีบริการอีก 100 สาขา จากขณะนี้มี 474 สาขา

นายณรงค์ สีตสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ?แนวโน้มภาพรวมของธุรกิจโรงไฟฟ้าในปี 2550 ประเมินว่าโดยภาพรวมแล้วคาดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าน่าจะคึกคักมากกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากจะมีการเปิดประมูลโครงการ IPP รอบใหม่เกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันภาวะการแข่งขันในธุรกิจจะแข่งขันกันสูงด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีผู้ประกอบการหลายรายที่เข้าร่วมประมูลโครงการดังกล่าว?

สำหรับเป้ารายได้ของบริษัทในปี 2550 บริษัทประเมินจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้า มองเห็นว่ารายได้อาจจะใกล้เคียงหรืออาจจะดรอปลงจากปี 2549 เล็กน้อย เนื่องจากจะมีการหยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ประมาณไตรมาส 3-4 ของปี 2550 โดยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทั้งสิ้น 4 เครื่อง ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง รวมทั้งมีจำนวนวันในการเดินเครื่องน้อยตามไปด้วย ทั้งนี้บริษัทจะพยายามผลักดันส่วนแบ่งทางการตลาดให้เพิ่มมากขึ้นกว่าปัจจุบันอยู่ที่ 15%

ด้านบทวิเคราะห์ บล.แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) (ASL) มองว่า กลุ่มน้ำมันนั้น ราคาน้ำมันที่ลดลง เปลี่ยนมุมมองไปในทางลบ ซึ่งราคาน้ำมันที่จะหยุดการขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยการคาดการณ์ของ EIA ที่ว่าราคาน้ำมัน WTI ปีนี้จะอยู่ที่ 65.17 เหรียญ/บาร์เรล หรือลดลง 1.4% จากปี 2549 ส่งผลให้ความสนใจของหุ้นที่ทำธุรกิจน้ำมันในปี 2550 ดูจะไม่สดใสนัก โดยเฉพาะผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่าง PTTEP ที่ราคาขายมีแนวโน้มที่จะลดลงหรือทรงตัว และเป็นหุ้นที่จะถูกกระทบโดยตรงจากการลดลงของราคาน้ำมัน นอกจากนี้ PTTEP ยังมีความเสี่ยงจากต้นทุนของโครงการอาทิตย์ ที่อาจสูงขึ้นจากความล่าช้า รวมถึงค่าตัดจ่ายในการเจาะสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซ ที่จะสูงขึ้นตามโครงการในมือที่มากขึ้น ทำให้หุ้น PTTEP กลายเป็นหุ้นที่ถูกลดความสนใจจากเราลงไปมากเลยทีเดียว โดยเราปรับลดราคาเป้าหมายปีนี้ มาอยู่ที่ 112 บาท

ผลจากการ downgrade หุ้น PTTEP ส่งผลให้ PTT ซึ่งถือหุ้น PTTEP อยู่ 67% พลอยได้รับความเสี่ยงตาม PTTEP ไปด้วย สำหรับผลการดำเนินงานปีนี้ของ PTT เราคาดว่าการขยายตัวของกำไรสุทธิของ PTT จะมีอัตราการขยายตัวที่ชะลอตัวลงจาก 21% เป็น 6% ในปีนี้ อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว PTT ยังมีการเติบโตได้ จากการลงทุนต่างๆทั้ง PTT เอง และบริษัทในเครือ ขณะที่ กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ในปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทำให้ในรูปของกำไรจากการดำเนินงานแล้ว น่าจะออกมาใกล้เคียงหรือมีการเติบโตน้อย อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน เราแนะนำให้เล่นเก็งกำไรตามรอบของค่าการกลั่น ที่จะสูงผิดปกติประมาณปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น เพราะในปีนี้ไม่ว่าจะเป็นโรงกลั่น TOP , RRC , RPC หรือ BCP ยังไม่มีการเพิ่มขึ้นทางด้านกำลังการผลิตเข้ามาในปีนี้ ดังนั้นผลการดำเนินงานจะดีได้จึงต้องอยู่ที่ค่าการกลั่นน้ำมันมากกว่าเหตุผลอื่น

ส่วน กลุ่มถ่านหิน แนวโน้มราคาถ่านหินปี 2550 น่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยปริมาณถ่านหินจากผู้ผลิตสำคัญคือ อินโดนีเซียและออสเตรเลีย ที่มีการส่งออกมากขึ้น ทำให้ราคาถ่านหินในตลาดเอเซียไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ สำหรับผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง BANPU รายได้จากการขายถ่านหินจะเพิ่มขึ้นจากปริมาณการผลิตของเหมือง Trubaindo โดยกำไรของธุรกิจถ่านหินของ BANPU จะดีขึ้นในปีนี้ หลังจากที่อินโดนีเซียระงับการเก็บภาษีส่งออก กอปรกับต้นทุนในการผลิตลดลงตามราคาน้ำมันที่ลดลง นอกจากนี้ BANPU ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้า BLCP ที่เริ่มผลิตมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/49 ทำให้เรายังเห็นว่า BANPU เป็นหุ้นที่ดีที่สุดของกลุ่มผู้ผลิตถ่านหิน แม้ราคาปัจจุบัน จะสูงเกินราคาเป้าหมายก็ตาม แต่เรายังแนะนำให้ ?ถือ? ไว้

กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า กำลังรอว่าการประมูล IPP ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะออกมาในรูปใด เนื่องจากยังไม่มีการสรุปว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่จะเข้าประมูลในครั้งนี้มีจำนวนเท่าใดระหว่าง 8,000-10,000 MW และประเภทของโรงไฟฟ้าจะใช้เชื้อเพลิงประเภทใดบ้าง โดยผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่เป็น IPP และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้ง 3 ราย คือ EGCOMP, RATCH และ GLOW ต่างก็มีโอกาสที่จะได้รับการคัดเลือกด้วยกันทั้งสิ้น แต่คาดว่า EGCOMP จะมีโอกาสที่จะได้ในสัดส่วนที่มากกว่ารายอื่น จึงถือเป็นตัวที่เด่นที่สุดของกลุ่ม

ส่วนของ RATCH ถึงจะมี market shares ของการผลิตไฟฟ้าในภาคเอกชนที่สูงที่สุด แต่ด้วยเหตุผลที่การดำเนินงานในปี 2550 จะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จึงทำให้มีความน่าสนใจน้อยกว่า และท้ายสุดคือ GLOW ที่ยังติดขัดในเรื่องการหาลูกค้ารายใหม่ที่จะมาแทนกลุ่ม PTT แม้จะมีการตกลงกับกลุ่ม SCC ได้แล้ว แต่กว่ารายได้จะเข้าคืออีก 3 ปีข้างหน้า จะทำให้ความน่าสนใจอยู่เพียงการ ?ถือ? เท่านั้น อย่างไรก็ตาม หุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ จัดเป็นหุ้นที่เป็น Dividend Stock ซึ่งมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ทำให้ยังเหมาะสำหรับการถือเพื่อรับผลตอบแทนทางด้านเงินปันผลได้อีกทางหนึ่งด้วย

ขณะที่ บล.บัวหลวง จำกัด (มหาชน) (BLS) ระบุว่า ความต้องการก๊าซธรรมชาติในประเทศยังขยายตัวต่อเนื่องแม้ภาครัฐมีสัดส่วนเชื้อเพลิงประเภทอื่น ขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าก็มีส่วนที่ช่วยให้ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน สถานการณ์ตึงตัวของอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มผ่อนคลายลงในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น แต่แนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกจากกำลังการกลั่นที่ยังคงตรึงตัวและอัตราการใช้กำลังการผลิตก็ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะกลางถึงยาว ขณะเดียวกันการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นของ PTT น่าจะผลักดันราคาหุ้น เพราะการควบรวมธุรกิจจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ที่ดีขึ้น

ส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้ายังมีการเติบโตต่อเนื่องตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) และการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ อีกทั้งในปี 2553 ประเทศไทยยังมีความต้องการโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้น

ด้านเทคนิค เห็นชัดเจนว่ามีการสร้างรูประฆังคว่ำในขณะที่ MACD ยังคงเป็น down trend ดังนั้นในปี 50 ทิศทางของกลุ่มพลังงานจะอ่อนตัวลงเรื่อยๆและไม่น่าลงทุน กลยุทธ์ ?ลดการลงทุน?

.0007

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com