May 5, 2024   6:00:13 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตลาดหุ้นไทยปางตาย..คาดดัชนีฯ ฟื้นตัว Q3-4..โบรกฯ แนะถือ....
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 03/01/2007 @ 21:46:12
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดตลาดหุ้นไทย ผลกระทบจากมาตรการสะกัดการเก็งกำไรเงินบาทยังไม่ทันจางหาย ล่าสุดถูกระเบิด กทม. ถล่มซ้ำทำเกือบปางตาย โบรกเกอร์ชี้ ดัชนีฯ คงผันผวนอีกนาน กว่าจะกลับมาฟื้นตัวคงเป็นในไตรมาส 3-4 ปีนี้ กลยุทธ์ต้องถือเงินสด!

* เคราะห์ซ้ำกรรมซัดตลาดหุ้นไทย
หลังจากตลาดหุ้นไทยปรับลดลงแรงกว่า 100 จุด ในปลายปี 2549 อันเกิดจากผลกระทบมาตรการสะกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท วานนี้ (3 ธ.ค.) ตลาดหุ้นไทยก็ได้รับผลกระทบด้านลบอย่างรุนแรงอีกครั้ง หลังเกิดเหตุระเบิด 8 จุดใน กทม. เมื่อค่ำวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา

ส่งผลให้เปิดการซื้อขายศักราชใหม่ 2550 มีแรงเทขายออกมาทันที ทำให้ดัชนีฯ ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปรับลดลงต่ำสุดที่ระดับ 653.14 จุด ก่อนจะปิดที่ระดับ 659.25 จุด ลดลง 20.59 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,288.29 ล้านบาท

* S&P ชี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความน่าเชื่อถือของไทย
นายคิม เอ็ง ตัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านการเงินสาธารณะระดับประเทศและระหว่างประเทศ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ได้ออกมาเปิดเผยว่า เหตุการณ์ลอบวางระเบิดในครั้งนี้ ได้ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความน่าเชื่อถือของไทย หลังจากที่มีเหตุการณ์ในเชิงลบหลายครั้งในปี 2549

* คาดดัชนีฯ ซึมยาว ฟื้นตัว Q3-4

นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดในเขต กทม. ว่า หากสถานการณ์ยังคงคลุมเครือคาดว่ากรณีดังกล่าวน่าจะสร้างผลกระทบให้กับตลาดหุ้นไทยประมาณ 1 - 2 เดือน อย่างในช่วงเช้าของการเปิดทำการซื้อขายในวันแรกของปี ดัชนีตลาดฯ ได้ตอบรับข่าวปรับตัวลดลงค่อนข้างมากพอควร ซึ่งคงต้องติดตามดูสถานการณ์ต่อไปว่าจะดีขึ้นหรือไม่ หากยังไม่ดีขึ้นเชื่อว่าน่าจะส่งผลต่อตลาดให้ซึมลงเรื่อยๆ

ขณะเดียวกัน ประเมินว่าหากสถานการณ์คลี่คลาย โดยภาครัฐมีมาตรการออกมารองรับหรือทราบถึงผู้กระทำได้ คาดว่าภาพการลงทุนคงไม่เลวร้ายมากนัก

และน่าจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายได้เร็วขึ้น แต่ตลาดฯ ยังมีปัจจัยที่กดดันอยู่ อาทิ แนวทางการปรับฐานของดัชนีฯ ตลาดต่างประเทศ, แนวโน้มค่าเงินบาทซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังไปไหนไม่ได้ไกล

อย่างไรก็ตาม คาดว่าหากสถานการณ์ทุกอย่างยังไม่ชัดเจน อาจส่งผลนักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนบ้าง ทำให้ดัชนีตลาดฯ ในช่วงไตรมาส 1-2/50 ผันผวน และน่าจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 3-4/50

* นลท.อาจโดนบังคับขาย-แนะลงทุน TFEX

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ สายงานการตลาด บล.เอเซียพลัส กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดทั่วกรุงเทพฯ ว่า ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยให้ปรับลดลงไปแล้ว และนักลงทุนก็ได้รับข่าวไปแล้วพอสมควร ดังนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวคงส่งผลกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น แต่ปัจจัยที่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นเรื่องมาตรการสกัดเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มากกว่า

นอกจากนี้ ปัจจัยลบที่ยังคงต้องติดตาม ยังเป็นเรื่องของค่าเงินบาท ซึ่งในขณะนี้ยังคงมีความผันผวน แต่หากมาตรการกันสำรอง 30% ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้นมาเหนือระดับ 36.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐก็จะกระทบต่อตลาดหุ้นไทยให้เคลื่อนไหวลักษณะของการซึมลงนาน อีกทั้งหากตลาดหุ้นไทยมีการซึมลงแรงก็มีโอกาสที่จะโดนบังคับขายได้ในที่สุด

อย่างไรก็ดี เหตุการณ์วางระเบิดได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินและ บมจ.บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เนื่องจากเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุน ดังนั้นความเชื่อมั่นต่อการลงทุนรวมถึงทิศทางเศรษฐกิจถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญ ดังนั้นจึงแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุน

ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนให้หันมาลงทุนในตลาดตราสารอนุพันธ์ หรือ TFEX เนื่องจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบจะมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นและสามารถลงทุนได้ง่ายในช่วงตลาดหุ้นขาลง


.00020

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 03/01/2007 @ 21:48:14 : re: ตลาดหุ้นไทยปางตาย..คาดดัชนีฯ ฟื้นตัว Q3-4..โบรกฯ แนะถือ.
* หวังรัฐคุมสถานการณ์ได้
นายสิทธิเดช ประเสิรฐรุ่งเรือง ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยคงจะเงียบเหงาและซึมๆ ไปอีกประมาณ 3-4 เดือน เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองยังคงเป็นตัวแปรหลักที่ชี้นำและมีอิทธิพลต่อการลงทุน

ช่วงนี้นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์วางระเบิดทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งตอนนี้นโยบายของภาครัฐก็ยังไม่มีความชัดเจนและไม่มีการออกมาบอกหรือประกาศว่าตอนนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วหรือจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างไรบ้าง นายสิทธิเดช กล่าว

นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่กรุงเทพฯ ทั้ง 8 จุด เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2549 คาดว่าจะส่งผลกระทบและกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลและไม่มั่นใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมทั้งยังส่งผลกระทบด้านลบต่อจิตวิทยาการลงทุนอีกด้วย

หากรัฐบาลสามารถจับตัวคนร้ายได้ หรือไม่ก็มีแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติและเรื่องที่ว่านักลงทุนรายใหญ่มีการย้ายการลงทุนจากตลาดหุ้นไทยไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามไม่ขอออกความคิดเห็นเพราะตอนนี้ข้อมูลยังน้อยอยู่ นายอภิสิทธิ์ กล่าว

* แนะถือเงินสดหรือเลือกลงทุนหุ้นบิ๊กแคป-ปันผล
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ผลกระทบจากเหตุการณ์ระเบิดจะส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนไปอีก 1 ไตรมาส
ทำให้การลงทุนในขณะนี้จะไม่สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนมากนัก เนื่องจากในช่วง 1 ไตรมาสจะเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนต่างประเทศพิจารณาการถอนเงินทุนออกจากตลาดหุ้นไทย จึงถือว่าได้ว่าเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงในตลาดหุ้นสูง

ดังนั้น แนะนำนักลงทุนจะถือเงินสดหรืออาจลงทุนในตลาดพันธบัตรแทน โดยมองว่าเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ใช่สิ่งที่นักลงทุนต้องการมากที่สุด แต่เป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำมากกว่า

อย่างไรก็ดี หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์ระเบิดในกทม.โดยตรงก็คือกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ซึ่งบริษัทฯ จะมีการปรับราคาเป้าหมายและแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง โดยให้เปลี่ยนไปลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในอัตราสูง หรือถือเงินสด

สำหรับการปรับประมาณการในแง่ผลประกอบการ เบื้องต้นจะลดประมาณการรายได้ในกลุ่มโรงแรมและกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับการบริโภคของคนอาทิโมเดิร์นเทรดและโรงภาพยนตร์

ด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนว่า แนะนำนักลงทุนถือเงินสด เนื่องจากในช่วงนี้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น รวมทั้งยังคงมีความเสี่ยงและปัจจัยทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลและส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน

นายเกียรติก้อง กล่าวว่า โดยภาพรวมการลงทุนแล้ว ยังแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนแต่อาจเลือกเล่นสั้นในหุ้นที่มีปันผล หรือหุ้นที่แทบจะไม่ได้รับผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท อย่าง บมจ.อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) (ATC) , บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) , บมจ. บ้านปู (BANPU) บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCOMP)

นายสิทธิเดช กล่าวต่อว่า หาก SET Index ปรับลดลงถึง 650 จุด นักลงทุนควรเลือกเข้าไปซื้อหุ้นของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL,ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK,ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เนื่องจากหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีปัจจัยพื้นฐานดี ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว

* ข่าวรายใหญ่โยกการลงทุนไปเวียดนามกดดันตลาด
นายเกียรติก้อง กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่านักลงทุนรายใหญ่เตรียมย้ายไปลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเวียดนามว่า มองว่าเป็นข่าวที่กดดันตลาด หากเป็นนักลงทุนต่างชาติคงสามารถทำได้ แต่หากเป็นนักลงทุนรายบุคคลในประเทศจะไปลงทุนในต่างประเทศเองคาดว่ายังน่าจะมีสัดส่วนน้อย และเชื่อว่านักลงทุนไทยยังคุ้นเคยกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ขณะที่นายสิทธิเดช กล่าวว่า ประเมินว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นนานแล้วแต่เป็นการทยอยย้ายการลงทุน ซึ่งหากเกิดการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องคงจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีและภาพรวมของการลงทุนภายในประเทศ ดังนั้นรัฐบาลควรที่จะมีมาตรการที่ชัดเจนว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้างเพื่อไม่ให้นักลงทุนได้รับผลกระทบ
[/color:15b8519968">


.00020
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com