May 5, 2024   4:04:21 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ลุยหุ้น mai มีสตอรี่-ปลอดภัยไร้กังวลฝ่าดงระเบิดท่วมSET index
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 04/01/2007 @ 23:46:06
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดหุ้นซบ-ไร้ปัจจัยบวกหนุน-หุ้นบิ๊กแคปหมดไร้เสน่ห์ ลงทุนหุ้นmai ดีที่สุด หลายตัวมีสตอรี่ให้เลือกทั้ง BROCK-CIG-L&E ขณะที่หลายตัวจ่ายปันผลแจ่มทั้ง UMS-CMO-ETG ส่วน TRC-PYLON มีโครงการใหม่รองรับเพียบ ขณะที่บิ๊กmai ลั่น ผลักดันมาร์เก็ตแคปสิ้นปีนี้ ถึง 3.3 หมื่นล้านบาท หลังราคาหุ้นในสังกัดขยับเพิ่ม แถมจะมีบจ.ตบเท้าเข้าตลาดฯไม่ขาดสายคาดปีนี้มีบริษัทยื่นคำขอเข้าจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอีก 24 บริษัท ด้านวงการ ยังไม่เชื่อ mai ทำได้จริงตามเป้าเหตุภาวะตลาดไม่สดใส แต่ประสานเสียงเชียร์หุ้น mai ต้อง UMS-ILINK-CMO ขณะที่หม่อมอุ๋ย ใจดีขยายเวลาลดภาษีบจ. อีก 3 ปีติดกันหากยื่นขอเข้าเทรดภายในปีนี้

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด สำหรับตลาดหลักทรัพย์ของไทย ตั้งแต่ปีจอผ่านพ้นมาจนถึงปีกุน นับตั้งแต่การออกมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าป้องกันค่าเงินบาทแข็งค่าของธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา ที่ระบุให้สถาบันการเงินหักสำรอง 30% สำหรับเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่นำเข้ามาลงทุน จนสร้างความวิตกอย่างหนักฉุดให้ดัชนีตลาดฯ ในวันรุ่งขึ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงถึง 142.636 จุด หรือ 19.52% อยู่ที่ 587.92 จุด ก่อนจะรีบาวน์ขึ้นมาปิดที่ 622.14 จุด ลดลง 108.41% หรือ 14.83% และแม้ในวันเดียวกัน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ จะประกาศผ่อนเกณฑ์ให้เงินที่ลงทุนในตลาดหุ้นไม่ต้องกันสำรอง 30% แต่ก็แค่ทำให้ตลาดฯ สดใสขึ้นมาเพียงแค่วันถัดไปท่านั้น แต่หลัง

จากนั้นเป็นต้นมาดูเหมือนตลาดฯในช่วงปลายปี จะไม่กระเตื้องขึ้นจนถึงวันสุดท้ายของการซื้อขายในวันที่ 29 ธันวาคม 2549 จนมาถึงเหตุการณ์ลอบวางระเบิดพื้นที่ในกรุงเทพ 8 จุด เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม หรือวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่กลายเป็นเรื่องสะเทือนขวัญประชาชน นักลงทุนและนักท่องเที่ยว เพราะถือเป็นครั้งแรกที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น

และทันทีที่ตลาดฯเปิดทำการซื้อขาย ต้อนรับปีหมูเมื่อวันพุธที่ 3 มกราคม 2550 ดัชนีฯ ก็ปรับตัวลดลงรับข่าวทันที โดยปิดลดลงกว่า 20 จุดหรือประมาณ 3% ถึงแม้ว่าการปรับตัวลดลงจะไม่มากเหมือนเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม แต่ข่าวการก่อความสงบดังกล่าวก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ไม่ค่อยจะมั่ใจในตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว ชะลอการลงทุนต่อไปอีก เพราะนอกจากมาตรการที่ไม่แน่นอนแล้ว ยังต้องมาพบกับสถานการณ์ที่อาจไม่ก่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้นไปอีก ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น และกลายเป็นเรื่องรายวันไปแล้วนับตั้งแต่มีการลอบวางระเบิดเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นข่าวลือ หรือข่าวจริง แต่ก็ล้วนเพิ่มความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุนมากขึ้น

นอกจากนี้เหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ แสตนดาร์ดแอนด์พัวร์ หรือเอสแอนด์พี (S&P) อาจจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลงอีก หลังจากที่ระบุในรายงานว่าการลอบวางระเบิด 8 จุดครั้งนี้ มีผลเชิงลบต่อเครดิตของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตลาดหุ้นหมดหวังที่จะเกิด January Effect ไปเรียบร้อย และจริงๆแล้วก็หมดหวังที่จะเกิดตั้งแต่เหตุการณ์ในช่วงปลายปีก่อนแล้ว ซึ่งวานนี้นักลงทุนต่างชาติก็ยังคงมีมูลค่าขายสุทธิ 622.31 ล้านบาท

ดังนั้นเมื่อมองจากปัจจัยลบที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง การเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ขณะนี้จึงไม่น่าสนใจ และแทบจะไร้ซึ่งเสน่ห์ หุ้นบิ๊กใหญ่ทั้งหุ้นพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร ที่เป็นที่นิยมของบรรดานักลงทุนต่างชาติ รวมไปถึงกองทุนสถาบันในประเทศนั้น กลายเป็นหุ้นที่ถูกมองข้ามในช่วงนี้ไปทันที จากแรงขายที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ตามการลดพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ จะมีก็แต่หุ้นตัวเล็ก หรือหุ้นเก็งกำไรเท่านั้นที่ยังฝ่าฟันภาวะตลาดหุ้นซบเซาได้ โดยหุ้นหลายตัวอย่างเช่น หุ้น บมจ. เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม หรือ NEP ปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี รวมไปถึง IEC -LIVE -MATCH-TRAF เพราะหุ้นเก็งกำไรเหล่านี้มีราคาถูก การเก็งกำไรทำได้ง่าย และยิ่งในภาวะที่ตลาดขาดปัจจัยเล่น หุ้นเหล่านี้ยิ่งกลายเป็นของชอบของนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไร

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากหุ้นขนาดเล็กเหล่านี้แล้ว คาดว่าในสภาวะตลาดที่คลอบคลุมไปด้วยเรื่องร้ายๆ แล้ว หุ้นในกลุ่ม mai ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าจะได้รับสนใจจากนักลงทุนในปีหมูนี้ด้วย โดยเฉพาะหุ้นที่มีสตอรี่ให้เลือกลงทุนอย่างข่าวการหาพันธมิตรร่วมทุน การได้โครงการใหม่ อัตราจ่ายเงินปันผลดี ฯลฯ ถือเป็นหุ้นที่น่าจะเป็นหุ้นยอดนิยมไม่น้อย อย่างน้อยก็ในช่วงที่ตลาดฯยังเงียบเหงา และไม่รู้ว่าจะฟื้นกลับมาคึกคักได้เมื่อใด เพราะหุ้นในตลาด mai มีราคาไม่สูง แม้ว่าสภาพคล่องอาจจะไม่มาก แต่ก็เหมาะกับการที่จะเข้าไปเลือกลงทุนได้ ทั้งจะในแบบเก็งกำไร หรือลงทุนระยะกลางถึงยาว

อีกทั้งในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติยังคงมีการขายอย่างต่อเนื่องในหุ้นขนาดใหญ่ การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จึงมีความเสี่ยงน้อย เพราะปลอดแรงขายจากต่างชาติ อีกทั้งล่าสุดวานนี้ ทางผู้จัดการตลาดเอ็มเอไอ นาย นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ยังประกาศตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีมูลค่าตลาดรวม หรือมาร์เก็ตแคปของ mai จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3 หมื่นล้านบาท ตลอดจนข่าวดีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าได้เซ็นอนุมัติขยายเวลาลดภาษีให้กับบริษัทจดทะเบียนใหม่ถึง 3 ปี โดยกำหนดให้บจ. ที่มาขอยื่นจดทะเบียนภายในปีนี้จะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีถึง 3 ปี ซึ่งถือเป็นข่าวดีให้กับการลงทุนในหุ้น mai ได้อีกชั้นหนึ่ง เพราะการที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ บจ. เท่ากับกระตุ้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้นไปด้วย

ทั้งนี้จากการรวบรวมของ eFinanceThai.com พบว่าหุ้น mai ที่เข้าเกณฑ์มีสตอรี่ และน่าลงทุนในช่วงนี้ประกอบด้วย

- บริษัท บ้านร็อคการ์เด้น จำกัด (มหาชน) หรือ BROCK มีข่าวว่ากำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับนักลงทุนชาวต่างชาติเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในสัดส่วน 50 : 50 ในการดำเนินการโครงการท่าเทียบเรือยอร์ช โรงแรมและโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูเก็ต โดยผลการเจรจาคาดว่าจะทราบผลในต้นปี 2550 ราคาปิดวานนี้อยู่ที่ 5.00 บาท ลดลง 0.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 18.51 ล้านบาท

- บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด ( มหาชน ) หรือ BROOK ซึ่งล่าสุดผลการดำเนินงานพลิกกลับมามีกำไรได้ หลังจากโครงการควบรวมกิจการของฝ่ายวาณิธนกิจได้เสร็จสมบูรณ์บางส่วนใน Q3/2549 ราคาปิดอยู่ที่ 0.83 บาท ลดลง 0.04 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.31 ล้านบาท

- บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CIG มีแผนร่วมทุนกับพันธมิตรรายใหม่ บริษัท เอวีวี จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจขายเครื่องปรับอากาศ ราคาปิดอยู่ที่ 2.68 บาท ลดลง 0.04 บาท มูลค่าการซื้อขาย 81,000 บาท

- บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ซึ่งประกาศพร้อมเปิดกว้างรับพันธมิตรใหม่ที่เข้าร่วมธุรกิจทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งในขณะนี้ยังระบุชัดเจนไม่ได้ว่าเป็นช่วงใดขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ตกลงร่วมกัน ราคาปิดอยู่ที่ 16.40 บาท ลดลง 0.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 248,000 บาท

- บริษัท สยาม ทู ยู จำกัด (มหาชน) หรือ S2Y เป็นอีก 1 บริษัทที่อยู่ระหว่างสรุปหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ แม้จะยังประเมินไม่ได้ว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงใด เนื่องจากยังไม่สามารถตกลงในรายละเอียดได้และผลประโยชน์ได้ ราคาปิดอยู่ที่ 1.27 บาท ลดลง 0.01 บาท มูลค่าการซื้อขาย 29,000 บาท

- บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน) หรือ UKEM กำลังอยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจไบโอดีเซล ซึ่งอาจเป็นการลงทุนร่วมกับพันธมิตรที่มีความชำนาญ ราคาปิดอยู่ที่ 2.26 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท มูลค่าการซื้อขาย 7 ล้านบาท

- บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC ข่าวได้งานวางท่อก๊าซที่สงขลา ช่วยหนุนให้รายได้คาดปีนี้มีรายได้ 700 ล้านบาท ราคาปิดอยู่ที่ 3.24 บาท ลดลง 0.02 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1.09 ลช้านบาท

- บริษัท ไพรอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON เป็นบริษัทที่มีงานต่อเนื่องโดยเฉพาะงานสร้างโรงแรมที่เวียดนามถึง 18 แห่ง ราคาปิดอยู่ที่ 2.02 บาท ลดลง 0.02 บาท มูลค่าการซื้อขาย 14,000 บาท

- บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (มหาชน) หรือ UMS มีอัตราการจ่ายปันผลที่ดี ราคาปิดอยู่ที่ 15.90 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 3.17 ล้านบาท

- บริษัท อิเทอร์นิตี้ แกรนด์ โลจิสติคส์ (มหาชน) หรือ ETG เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่มีอัตราจ่ายเงินปันผลที่ดี และธุรกิจยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ราคาปิดอยู่ที่ 5.40 บาท ลดลง 0.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 58.03 ล้านบาท

[/color:8fb754b002">

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 04/01/2007 @ 23:48:11 : re: ลุยหุ้น mai มีสตอรี่-ปลอดภัยไร้กังวลฝ่าดงระเบิดท่วมSET i
* CNS-ZMICO แนะ หุ้น mai ต้อง UMS-ILINK-CMO
เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน เปิดเผยว่า จากกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตั้งเป้ามาร์เก็ตแคป 3.6-4 หมื่นล้านบาท ให้เทียบเท่ากับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ภายใน 1-2 ปี ทั้งนี้ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ยากหากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นมีลักษณะคล้ายกับปัจจุบัน ซึ่งอาจจะทำให้ขาดปัจจัยบวกหรือแรงจูงใจที่จะทำให้บริษัท นำหุ้นเข้ามาระดมทุนภายในตลาด mai

กรณีที่หม่อมอุ๋ย ได้อนุมัติให้ขยายเวลาลดภาษีบจ.ใหม่ เฉพาะที่ยื่นในปีนี้ ออกไปอีก 3 ปี ก็ถือได้ว่าเป็นข่าวบวกสำหรับตลาดหุ้นไทย แต่ถ้าบรรยากาศการลงทุนเป็นแบบนี้มันก็เป็นไปได้ยากและอีกอย่างถ้าหากหุ้น IPO เข้าระดมทุนในตลาดได้ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อต้นปี 49 ที่ประมาณ 20 บริษัทฯ ก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยง นายชัย กล่าว

ทั้งนี้แนะนำซื้อลงทุนในหุ้นของ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS,บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK และบริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO เนื่องจากมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ

ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวว่า หุ้นในตลาด mai ที่น่าสนใจและเหมาะสำหรับการลงทุนประกอบด้วย CMO,ILINKและ UMS เนื่องจากมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและการให้ผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ดี ดังนั้นจึงแนะนำซื้อ โดย CMOให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 2.92 บาท ,ILINK ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 10.72 บาท และ UMS ให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 19 บาท ส่วนกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตั้งเป้ามาร์เก็ตแคป 3.6-4 หมื่นล้านบาท ภายใน 1-2 ปี ประเมินว่าจะเป็นไปได้จะต้องขึ้นอยู่กับการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม ความชัดเจนทางการเมือง

มันจะต้องมีแรงจูงใจหรือปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้น ยิ่งถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ซึ่งค่อนข้างอ่อนไหวอาจจะไม่มั่นใจและชะลอการนำหุ้นเข้าตลาดฯ ได้ แหล่งข่าวรายเดิมกล่าว



* บิ๊ก mai ตั้งเป้ามาร์เก็ตแคปสิ้นปี 50 เพิ่มอีก 1.2 หมื่นลบ. เป็น 3.3 หมื่นลบ.
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า ปีนี้ตั้งเป้ามูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพิ่มขึ้น 1.2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนหน้าที่มีมาร์เก็ตแคป 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้สิ้นปีมีมาร์เก็ตแคป 3.3 หมื่นล้านบาท โดยจากเป้าหมายที่มีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ปีนี้ 24 บริษัทและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ mai ที่ปรับเพิ่มขึ้นก็มีผลทำให้มาร์เก็ตแคปเป็นไปตามเป้าหมายได้

ทั้งนี้ ตั้งเป้ามาร์เก็ตแคปของตลาดหลักทรัพย์ mai จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจาก P/E ของแต่ละหลักทรัพย์มีแนวโน้มสูงขึ้น ประกอบกับมีบริษัทเข้าจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยคาดว่าภายใน 1-2 ปีจากนี้มาร์เก็ตแคปจะอยู่ที่ 3.6-4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่ากับภูมิภาคเอเชีย

เขากล่าวว่า คาดว่าตลาดหลักทรัพย์ mai ปีนี้ได้รับความสนใจมากกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลประกอบการขยายตัวดี อีกทั้งเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากการที่หุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่เกิดแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้หุ้นขนาดเล็กได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากยิ่งขึ้น

ปีนี้หุ้นเล็กใน mai ยังมีความน่าสนใจสูง แต่คงจะไม่หวือหวาในเวลารวดเร็วต้องใช้เวลา นักลงทุนซึมซับเรื่องผลประกอบการและเรื่องปันผล ยิ่งในช่วงภาวะที่ต่างชาติยังมีแรงขายหุ้นใหญ่ก็ซึมลง หุ้นเล็กก็มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น นายชนิตรกล่าว

สำหรับการนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นั้น นายชนิตรกล่าวว่า ในปี 2549 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพิ่มขึ้นจำนวน 6 บริษัท รวมเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ทั้งสิ้น 42 บริษัท และตั้งเป้าว่าในปี 2550 นี้จะมีบริษัทยื่นคำขอเข้าจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอีก 24 บริษัท


*คลัง ใจดี ขยายเวลาลดภาษีให้บจ.ใหม่ 3 ปี หากยื่นขอเทรดภายในปีนี้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้เซ็นอนุมัติการขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เฉพาะในปี2550 ออกไปอีก 3 ปี แล้วโดยต่อไปจะเสนอเรื่องให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้สาเหตุที่อนุมัติให้มีการขยายเวลาสิทธิประโยชน์ดังกล่าว เป็นเพราะเห็นว่าจำนวน บจ.ที่อยู่ในตลาดฯ มีเพียง 500 บริษัทเท่านั้นเพราะฉะนั้นจึงควรจะยังมีสิทธิทางภาษีเข้าเพื่อดึงดูดให้บจ.เข้ามาจดทะเบียนในตลาดมากขึ้นอีก

ที่เราให้ขยายเพิ่มอีกแค่ 3 ปี เพราะความตั้งใจเดิมที่มีอยู่คือ อยากที่จะลดระยะเวลาในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ลดลง ซึ่งเราก็ต้องดูความเหมาะสมต่อไปม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า กระทรวงการคลังไม่ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของตลาดหุ้นแต่อย่างใดถึงแม้ว่าจะมีการขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับบจ.ออกไปอีก 3 ปี ก็ตาม เพราะการขยายตัวของตลาดฯจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องตั้งเป้าอะไร

ตลาดหุ้นในเรื่องของดัชนีฯ ไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่การส่งออกและพื้นฐานตัวอื่นๆ มากกว่าเรื่องตลาดหุ้นเป็นเพียงกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์จากการเล่นหุ้นเท่านั้นม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

ทั้งนี้ที่ผ่านมาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นได้ให้สิทธิกับบจ.ที่จะเข้าตลาดก่อนสิ้นปี 2549 โดยตลาดหลักทรัพย์ได้สิทธิ์ลดภาษีจาก 30% เป็น 25% และตลาดMAI จาก 25% เป็น 20% ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการจูงใจให้บจ.หันมาระดมทุนในตลาดฯ มากขึ้น เพื่อพัฒนาตลาดฯได้เติบโตมากขึ้นด้วย

[/color:e97f80db2d">

.00020
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com