May 12, 2024   4:58:02 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 50 อันดับ หุ้นดีที่ถูกเมิน
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 10/01/2007 @ 09:51:41
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ผลพวงจากปัจจัยลบทั้งทางด้าน การเมือง ราคาน้ำมันแพง ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และมาตรการสำรองเงิน 30%ของ ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รวมถึงเหตุระเบิดในเขตกรุงเทพฯ และนนทบุรี ทำให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะขาลงอย่างเต็มตัวครั้งหนึ่งก็ว่าได้

ปัจจัยดังกล่าวที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศพากันเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมาก จนหุ้นหลายตัวมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างเห็นได้ชัด และมีแนวโน้มว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะมีราคาถูกลงอีกเรื่อยๆ หลังตลาดหุ้นถูกปกคลุมด้วยปัจจัยลบมากมายหลายเรื่อง

จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ ข่าวหุ้น รวบรวมข้อมูลหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าพื้นฐานมาเสนอเป็นทางเลือกแก่นักลงทุน โดยคำนวณจากค่า P/BV Ratio ของหุ้นตัวที่มีค่าต่ำสุดก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นแรงในอนาคต ขณะเดียวกันก็มีโอกาสได้รับเงินปันผลเป็นของแถมอีกด้วย

เนื่องจากตอนนี้มีหุ้นพื้นฐานดีราคาถูกหลายตัวถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย

ข่าวหุ้นธุรกิจ จึงได้รวบรวมข้อมูลราคาหุ้นที่มีราคาซื้อขายปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) หรือต่ำกว่าพื้นฐานของบริษัท โดยใช้ข้อมูลราคาหุ้นในวันที่ 5 มกราคม 2549 เรียงตามค่า P/BV จากน้อยไปหามาก และได้คัดเลือกเอาเฉพาะหุ้นที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 200 ล้านหุ้นขึ้นไป และมีกำไรต่อหุ้นช่วง 9 เดือนแรก 2549 มาจัดอันดับเพียง 50ตัวเท่านั้น

ทั้งนี้การคัดเลือกหุ้นที่มีค่า P/BV ต่ำกว่า 2 เท่า 50 อันดับแรก จากจำนวนหุ้นที่มีกำไรต่อหุ้นจำนวน 288 ตัว ซึ่งในจำนวนนี้มีหุ้นหลายตัวที่ยังให้ปันผลและยังทำกำไรดีต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาความสามารถในการทำกำไรจะลดลงก็ตาม เช่น GSTEEL,TPIPL,SIRI,YNP,GFPT,CNS,SYRUS และ STA เป็นต้น

สำหรับหุ้นที่มีการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากที่สุดอันดับ 1 คือ บริษัท จี สตีลจำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL มีค่า P/BV อยู่ที่ 0.37 เท่า เนื่องจากราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ0.86 บาท(5 ม.ค.50) จากมูลค่าหุ้นตามบัญชีจริงที่ระดับ 2.34 บาท

ราคาหุ้นของ GSTEEL ที่ปรับตัวต่ำกว่าP/BV เนื่องจากการใช้สินทรัพย์ของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ส่งผลให้ ROA อยู่ในระดับเพียง 6.34 % ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่อยู่สูงกว่ามาตรฐานในระดับเหมาะสมที่ต้องไม่ต่ำกว่า 1 %

ทั้งนี้แม้ราคาหุ้นตัวนี้จะปรับตัวต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากภาวะธุรกิจเหล็กในช่วงที่ผ่านมาเป็นขาลงอย่างชัดเจน แต่เมื่อเทียบผลการดำเนินงานไตรมาส 3ปี 2549 พบว่าบริษัทยังทำกำไรได้อย่างชัดเจนเป็น 346.50 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 206.88 ล้านบาท หุ้นรายนี้ก็นับว่ายังมีพื้นฐานที่ดีและน่าลงทุน เนื่องราคาหุ้นในปัจจุบันไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของบริษัท

อันดับ 2 บริษัท นวลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NVL ประกอบธุรกิจหลักคือ ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อลีสซิ่ง มีค่า P/BV อยู่ที่ 0.37 เท่า ขณะที่มูลค่าหุ้นทางบัญชีที่แท้จริงอยู่ที่ระดับ1.56 บาท แต่ราคาลดลงมาที่ถึงระดับ 0.57 บาท ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลงมามากเป็นผลมาจากช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรลดลงโดยเฉพาะกำไรงวด 9เดือน 2549 ที่ผ่านมาลดลงเป็น 16.77 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 23.20ล้านบาท เป็นผลมาจากลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้ตามสัญญาเช่าการเงินลดลง 544.84 ล้านบาท

เนื่องจากการรับชำระหนี้คืนตามกำหนดและปิดบัญชีก่อนกำหนด (บางส่วน) ซึ่งเป็นผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากสัญญาเช่าซื้อและเช่าการเงินลดลงเป็น 123.60 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 157.12 ล้านบาท

สำหรับเรื่องการจำหน่ายลูกหนี้เช่าซื้อและเช่าลีสซิ่งจำนวน 297.41 ล้านบาท ให้แก่ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน นั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ กับคู่ค้าของบริษัทฯ เพื่อนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะแจ้งให้ทราบถึงความคืบหน้าในผลของมติของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทภายใน เดือนมิถุนายน 2550

อันดับ 3 บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS มีค่า P/BVอยู่ที่ 0.40 เท่า แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลงมามาก จนทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่ระดับ0.40บาท จากมูลค่าหุ้นทางบัญชีที่แท้จริงที่ระดับ 1.01 บาท เนื่องจากผลการดำเนินไตรมาส 3 ปี 2549 ขาดทุน 99.22 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 230.47 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีส่วนแบ่งผลขาดทุนจากบริษัทร่วมจำนวน 188 ล้านบาทโดยเป็นผลขาดทุนจากบริษัท ทีที แอนด์ที จำกัด (มหาชน) ทั้งจำนวน

อย่างไรก็ตามราคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นได้อีก หลังบริษัทมองว่าปี 2550 ยอดลูกค้าอินเตอร์เน็ต บรอดแบนด์จะเติบโตค่อนข้างมาก โดยคาดว่าจะมีลูกค้าราว 5 แสนรายจาก 3 แสนรายในปีนี้ สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 2 แสนราย ซึ่งจะทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 20%

อันดับ 4 บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL มีค่าP/BV อยู่ที่ 0.41 เท่า ซึ่งเป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่ราคาถูกและพื้นฐานดี โดยราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ระดับ 10.20 บาท จากมูลค่าหุ้นที่แท้จริงที่ระดับ 24.63 บาท

สาเหตุที่ราคาหุ้นรายนี้ต่ำกว่าP/BV เป็นที่ทราบกันดีว่าช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นได้รับผลกระทบมีในเรื่องของความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้บริหาร และผู้ถือหุ้น ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ โดยช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากตลท.และก.ล.ต. ที่มีคำสั่งปลด นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์พ้นจากผู้บริหาร 3 บริษัท ได้แก่ TPI-TPIPL-BUI

เนื่องจากขาดคุณสมบัติการเป็นกรรมการในบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นผลให้ราคาหุ้นยังร่วงต่อ ส่วนประเด็นต่อมาที่ทำให้ราคาหุ้นลดต่ำลงคือ การประกาศเพิ่มทุนกว่า1.6 หมื่นล้านเพื่อนำไปใช้หนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ

สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นTPIPL ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้เมื่อมองด้านพื้นฐานของบริษัทกลับพบว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ของปี 2549 ยังสามารถสร้างกำไรให้เติบโตได้มากถึง 81% โดยเพิ่มขึ้นเป็น 2,207.66 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน1,237.03 ล้านบาท ขณะเดียวกันไตรมาส 4 บริษัทจะบันทึกกำไรค่าเงินบาทกว่า 1,000 ล้านบาท หลังค่าบาทแข็งแตะ 37 บาท สาเหตุหลักมาจากยอดขายปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้น

สำหรับอันดับ 5 บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ MIDA มี P/BVอยู่ที่ 0.42 เท่า ราคาหุ้นลดลงจากมูลค่าที่แท้จริงมากที่ระดับ1.28 บาท จากมูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ระดับ 3.08 บาท เนื่องจากผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2549 ลดลง เนื่องจากรายได้ลดลงจากปีก่อนเป็น 323.92 ล้านบาท หรือเท่ากับ 60.80 % เนื่องจากธุรกิจเช่าซื้ออยู่ในสภาวะชะลอตัวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประชาชนชะลอตัวการใช้จ่ายและเก็บออมเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ในไตรมาสนี้ได้เกิดมีอุทกภัยขึ้นในหลายจังหวัดแถบภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ยอดขายลดลงอย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานที่ผ่านมาบริษัทยังทำกำไร บวกกับการจ่ายปันผลที่ยังต่อเนื่อง พื้นฐานหุ้นรายนี้ก็น่าจะไม่แข็งแกร่งและน่าลงทุนอีกตัว

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com