samjin สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 352 | วันที่: 10/01/2007 @ 22:13:31 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต นักลงทุนต้องทำใจ ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยอาจกระทบระยะสั้น ภายใต้การบริหารงาน คมช. ที่จำต้องจัดระเบียบใหม่ เพื่อดึงธุรกิจให้กลับมาอยู่ในมือคนไทยเหมือนเดิม พร้อมกับการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต... หวังทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 2552-2553
* คมช.เข้มเพื่อชาติ
หลังจากประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. นโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญๆ ได้ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง และส่วนใหญ่เกิดผลกระทบที่รวดเร็วและรุนแรง ตัวอย่างเช่น การประกาศใช้มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท ที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงกว่า 100 จุด
และล่าสุดการแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบกิจการคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่ 1. บริษัทต่างชาติที่ถือหุ้นรวมกันเกิน 50% จะต้องแจ้งต่อกระทรวงพาณิชย์ภายใน 90 วัน และต้องลดสัดส่วนดังกล่าวลงภายใน 1 ปี หลังร่างแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มีผลบังคับใช้
2. บริษัทต่างชาติรายใดมีสิทธิในการออกเสียงรวมแล้วเกินกว่า 50% จะต้องแจ้งภายใน 1 ปี และลดสิทธิดังกล่าวลงภายใน 2 ปี และ 3. การถือหุ้นในลักษณะนอมินีจะต้องแจ้งภายใน 90 วัน และขายออกภายใน 1 ปี ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะนี้ และยังมีแรงเทขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง
* ปกป้องประโยชน์ประชาชนส่วนใหญ่
นโยบายทุกอย่าง ถูกประเมินว่า แม้กระทบต่อนักลงทุนในตลาดหุ้น 2 แสนคน แต่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่กว่า 60 ล้านคนทั่วประเทศ และเป็นเรื่องที่น่าจะมาถูกทาง ดูตัวอย่างจากประเทศมาเลเซีย ที่ดำเนินนโยบายแบบเข้มงวดและต้องใช้เวลานับ 10 ปี กว่าที่เศรษฐกิจของประเทศจะกลับมาฟื้นตัว ซึ่งนับว่าคุ้มค่าต่อการตัดสินใจของผู้นำประเทศขณะนั้นมาก
ขณะที่ประเทศไทยมีการคาดหมายว่า นโบายทั้งหลายทั้งปวง น่าจะกระทบในระยะเวลาสั้นๆ และทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ปี 2552-2553
* ต่างชาติขู่ถอนการลงทุน
ปัจจุบันบรรดากลุ่มทุนต่างชาติที่เสียประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ได้ขู่ถอนการลงทุนออกไปจากประเทศไทยหากไม่มีการยกเลิกการแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าว พร้อมกับยืนยันว่าจะโยกไปอยู่ในประเทศแถบเอเชียที่เป็นคู่แข่งของไทย เพราะมีกฏหมายที่เอื้อต่อการทำธุรกิจมากกว่า
ทั้งกำชับด้วยว่า นักลงทุนต่างชาติได้ขาดความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะประเด็นการลดสัดส่วนการถือหุ้นลง จนทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ต้องทบทวนแผนการลงทุนในประเทศไทย
* พรรคชาติไทย เชียร์ความกล้าหาญของรัฐบาล
ในเวลาเดียวกันนโยบายต่างๆ ของ คมช. ได้รับการเห็นชอบอย่างชัดเจนจากพรรคการเมืองบางพรรค ที่แสดงความสนับสนุนเต็มที่ นำโดย นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย ที่กล่าวถึงการแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ว่า พรรคชาติไทย ขอชื่นชม และสนับสนุนการกระทำของรัฐบาล
โดยแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของคนไทยตามนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงที่รัฐบาลได้เสนอไว้ และเชื่อว่า หอการค้าต่างประเทศน่าจะเข้าใจ เพราะเจตนารมณ์ที่แท้จริง คือ เพื่อให้มีความโปร่งใสมากขึ้น ซึ่งจะแก้ปัญหานอมินี หรือการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงแทนผู้ถือหุ้นได้
* CLSA แนะเก็บหุ้นพื้นฐาน-ปันผลดี
ด้านบทวิเคราะห์การลงทุนโดย CLSA วันที่ 10 มกราคม 2550 ได้แนะนำซื้อหุ้นในกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีอัตราเงินปันผลสูง โดยหุ้นที่เลือกแนะนำได้แก่ ATC-BANPU-BEC-EGCOMP-PTT-SCCC หลังประเมินว่า ปัจจัยเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะยังคงมีอยู่ในระยะยาว
โดย CLSA ระบุว่า การรับหลักการร่างแก้ไขกฎหมายประกอบกิจการคนต่างด้าวเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติตีความว่าประเทศไม่ต้อนรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติอีกต่อไป โดยส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวมากที่สุดได้แก่ภาคการลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างชาติ และภาคธนาคารของไทยซึ่งจะได้รับผลกระทบโดยอ้อมจากการการกู้ยืมเพื่อการลงทุนที่จะชะลอลงจากการบรรยากาศการลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
ขณะในส่วนของตลาดหุ้น CLSA มองว่า มีบริษัทจดทะเบียนเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากการแก้กฎหมายประกอบกิจการคนต่างด้าว
โดยกลุ่ม SHIN เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดและต้องปฏิบัติตามกฎหมายภายในกำหนดเวลา ขณะที่ UCOM เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่อาจได้รับผลกระทบด้วย
* รัฐรับแรงเสียดทานอย่างหนัก
การประกาศใช้นโยบายต่างๆ ทำให้รัฐบาลต้องรับแรงเสียดทานอย่างหนักจากประชาชนหลายกลุ่ม เนื่องจากวิตกกังวลว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น จะนำมาซึ่งความเสียหายทางเศรษฐกิจ และอาจทำให้เกิดภาวะการปิดตัวของหลายธุรกิจ อันจะต่อเนื่องมายังปัญหาแรงงาน ที่จำนวนผู้ตกงานอาจมีเพิ่มขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด
ขณะเดียวกัน ยังเกิดคลื่นใต้น้ำที่มากับกระแสเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และความมั่งมีในระดับรากหญ้า ซึ่งกระแสเรียกร้องนี้กดดันให้รัฐบาลต้องเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นใต้น้ำที่ไม่รู้ว่าวันใดจะกลายเป็นคลื่นเหนือน้ำ
* ทักษิณ ประกาศยุติบทบาททางการเมือง
ล่าสุดวานนี้ (10 ม.ค.) เพื่อสร้างความสบายใจให้กับรัฐบาล นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาเปิดเผยว่า จากการพูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ฮ่องกง ได้รับการยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะขอยุติบทบาททางการเมือง และไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงใดๆ รวมถึงจะไม่ลงเลือกตั้งในสมัยหน้า ขอเป็นเพียงสมาชิกพรรคการเมืองเท่านั้น
ท่านจะไม่ออกมาเคลื่อนไหวหรือสนับสนุนใคร เพื่อให้รัฐบาลไม่เกิดความหวาดระแวง นายนพดล กล่าว
* เปลี่ยนขั้วการเมือง แต่ประเทศยังแกร่ง
รัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้ให้ความหวังกับประชาชนว่า จะวางรากฐานประเทศนับจากนี้ไปให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยธุรกิจจะอยู่ในมือของคนไทย ไม่ให้กลุ่มทุนต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์กลับประเทศเหมือนในอดีตอีกต่อไป
แต่สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องคำนึงถึงในขณะนี้ คือ ทำอย่างไรไม่ให้สถานการณ์ต่างๆ เลวร้ายลงไปอีก ทำอย่างไรไม่ให้เกิดผลกระทบทางลบต่อภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอาจกระทบมายังประชาชนในระดับล่าง และจะทำอย่างไรเพื่อให้ประชาชนและนักลงทุนมีความมั่นใจกลับคืนมา
ส่วนหนึ่งที่เป็นความหวังของประชาชน คือ การเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบ ขณะที่ขั้วการเมืองอาจเปลี่ยนแปลงไป
ขณะที่มีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่กลุ่มหมอดูทำนายทายทักว่า เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ อภิสิทธิ์ จะถูกสั่นคลอนจากม็อบที่มีอยู่มากมายหลายกลุ่ม และอาจทำให้การอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจไม่ครบเทอม
ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่ในเวลานี้ขอให้ประชาชนชาวไทยมีความอดทน รอให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ปรับตัว เพื่อให้ประเทศชาติเดินเข้าสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและถาวรตามเจตนารมณ์ของ คมช. ตลอดไป... [/color:3e8271487f">
|