May 12, 2024   11:32:38 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ----- สัญญาณหุ้น -------
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 11/01/2007 @ 09:32:26
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.โกลเบล็กแนะนำซื้อ DRTราคาเป้าหมาย 12.00 บาทราคาหุ้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมือง และมาตรการของภาครัฐ ทำให้ปรับตัวลดลง10% จากจุดสูงสุดในเดือน ธ.ค.49 โดยที่ราคาปิดล่าสุด 8.35 บาท คิดเป็น PER เพียง5.2 เท่า จากกำไรในปี 50 อย่างไรก็ตาม เรามองว่าแนวโน้มผลประกอบการและฐานะการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง บวกกับ DRT มีจุดเด่นที่การจ่ายปันผล โดยเราประเมินปันผลจ่ายสำหรับผลประกอบการครึ่งหลังของปี 49 ที่ 0.40 บาท/หุ้น(คาดจะประกาศจ่ายได้ปลายเดือนก.พ.50) และสำหรับปี 50 เราคาดการณ์ปันผลจ่าย ที่ 0.90 บาท/หุ้น(คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 10.7%) ผลการดำเนินงาน 9M49 มียอดขายรวมอยู่ที่ 1,840 ลบ.เพิ่มขึ้น 16%YoY และกำไรสุทธิรวม 242 ลบ.เพิ่มขึ้นถึง 51%YoY ซึ่งจัดว่าทำได้ดีมาก แม้สภาพเศรษฐกิจในปี 49 จะอยู่ในภาวะชะลอตัว ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสสุดท้าย คาดจะยังดีต่อเนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ ที่จะทยอยรับรู้รายได้ ประกอบกับมีโครงการประหยัดต้นทุน โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันดีเซล โดยเราประเมินกำไรสุทธิในปี 49 ได้ที่ 305 ลบ.เพิ่มขึ้นขยายตัวสูงถึง 52%YoY แนวโน้มโตต่อเนื่องในปี 50โครงการขยายกำลังการผลิตและเพิ่มสายการผลิตใหม่ ได้แก่ กำลังการผลิตกระเบื้องคอนกรีตส่วนเพิ่ม 45,000 ตัน และโครงการผลิตไม้ฝาที่ไม่มีส่วนผสมของใยหิน 42,000ตัน เริ่มดำเนินการผลิตแล้วในช่วงไตรมาส 4 ปี 49 และเราคาดว่าจะรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตส่วนเพิ่มนี้อย่างเต็มที่ทันที เนื่องจากปัจจุบันใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มในทุกผลิตภัณฑ์แล้ว โดยเราประเมินยอดขายรวมในปี 50 ได้ 2,574 ลบ.เพิ่มขึ้น 6.6%YoYสำหรับในส่วนของอัตรากำไร จะได้รับผลดีจากโครงการลดต้นทุนการผลิตโดยใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมันดีเซล ซึ่งผู้บริหารคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ประมาณ 30 ลบ.ต่อปีและจะเห็นผลเต็มที่ในปี 50 เช่นกัน บวกกับผลิตภัณฑ์ไม้ฝาที่ขยายเพิ่มนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะทรงตัวใกล้เคียงปี 49 และคาดกำไรสุทธิปี 50 ได้ที่ 322 ลบ.เพิ่มขึ้น 5.5%YoY

บล.เคจีไอแนะนำซื้อ BAYราคาเป้าหมาย 21.00 บาทBAY ได้รับเงินเพิ่มทุนจาก GECIH เต็มจำนวนแล้ว คิดเป็นเงินประมาณ 2.2 หมื่นล้าน (2.1หมื่นล้านหลังหักภาษีและค่าใช้จ่าย) ที่ราคาหุ้นละ 16 บาท ขณะเดียวกันก็มีผู้ถือวอแรนท์อีก 70 คนใช้สิทธิแปลงวอแรนท์เป็นหุ้นจำนวน 463.1 ล้านหน่วยที่ราคาหุ้นละ 12 บาทคิดเป็นเงิน 5.5 พันล้านบาท หุ้นทั้งหมดประมาณ 1,854 ล้านหุ้น จะเริ่มซื้อขายในตลาดวันนี้ จำนวนหุ้นของ BAY จะเพิ่มขึ้นเป็น 4,794 ล้านหุ้น จาก 2,940 ล้านหุ้น คิดเป็น 38.6% dilution มูลค่าตลาด (market capitalization)ของ BAY ก็จะเพิ่มขึ้นอีก 63%ซึ่งก็ยังคงอยู่ในอันดับที่ 5 เหมือนเดิมในกลุ่มธนาคารไทย หลังจากได้เงินจาก GECIH และการแปลงสภาพวอแรนท์ครั้งนี้ สัดส่วนการถือหุ้นของ GECIH จะเป็น 29.01% และภายในปี51 จะลดลงมาเป็น 25.4% หลังจากที่วอแรนท์ทั้งหมดมีการแปลงสภาพ BAY เริ่มวางแผนรุกสินเชื่อเช่าซื้อเต็มกำลัง ซึ่งในระยะแรกจะเจาะจงเฉพาะรถใหม่ ขณะนี้ได้มีการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเพื่อดำเนินการนี้โดยเฉพาะ ชื่อ บริษัท อยุธยา แคปปิตัล ลิส (AYCL) ซึ่งBAY จะถือหุ้นประมาณ 99.99% คณะกรรมการบริหารของ AYCL นั้นก็คาดว่าจะมาจากตัวแทนจากทั้ง BAY GE และ อยุธยา ออโต ลิสซิ่ง (AYAL) ซึ่งขณะนี้ BAYยังไม่เปิดเผยรายละเอียด นอกจากนั้น GE Capital Auto Lease ก็จะหยุดดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อให้รถใหม่ และ BAY ก็มีแผนจะเอา AYAL ออกจากตลาด ซึ่งหลังจากนั้นธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อรถใหม่จะถูกทำผ่านAYCL ด้วยเงินจากการเพิ่มทุนและการแปลงสภาพวอแรนท์เป็นจำนวน 2.7 หมื่นล้านในครั้งนี้ ทำให้เงินกองทุนขั้นที่ 1 ของBAY แข็งแกร่งขึ้นอย่าวมากจาก 7.8% ไปเป็น 13.3% และเงินทุนที่แข็งแกร่งนี้จะส่งผลให้BAY มีเงินทุนเพียงพอในการตั้งรับการตั้งสำรองเพิ่มเนื่องจากกฏเกณฑ์ทางบัญชีใหม่หรือIAS39 และจะทำให้มีเงินทุนเพียงพอรองรับแผนการเติบโตสินเชื่อที่มาก

บล.ซิกโก้แนะนำซื้อ PTTEPราคาเป้าหมาย 108.00 บาทสถานการณ์ราคานำมันในต้นปี ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงโดยราคาน้ำมันดิบ Dubai, Tapisและ WTI ลงมาอยู่ที่52.25, 59.0 และ51.32 $/BBL รับ ลดลง 9.6%, 8.5% และ9%ทั้งนี้ แนวโน้มราคาน้ำมันระยะสั้นภายใน 1-2 อาทิตย์ ยังไม่มีสัญญาณพลิกฟื้นโดยปัจจัยกดดันหลักยังมาจากปริมาณน้ำมันสำรองสำเร็จรูปในสหรัฐที่ ยังอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะน้ำมันเบนซินซึ่งมีความต้องการใช้น้อยในช่วงฤดูหนาว และมีแนวโน้มที่ปริมาณสำรองจะเพิ่มขึ้นจากภาวะอากาศที่ยังอบอุ่นอยู่แม้จะเข้าสู่ช่วงกลางหน้าหนาวแล้วก็ตามอย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของกลุ่ม OPEC จะเป็นปัจจัยกระทบราคาน้ำมันเชิงในบวกหลังจากที่ ประเทศVenezuela ออกมาเรียกร้องให้กลุ่มOPEC ออกมาตรการพยุงราคาน้ำมั นและคาดว่าจะมีการประชุมกันในระยะเวลาอันใกล้ หลังจากที่ออกมาตรการลดโควตาของกลุ่มอีก 500KBDลงในเดือนกุมภาพันธ์ครั้งหนึ่งแลว และจากปัจจัยดังกล่าวเราได้ตั้งสมมติฐานราคาน้ำมันดิบTapis ปี FY07E ไว้ที่ 63 $/BBL PTTEP เร่งขยายกำลังการผลิตทั้งจากโครงการเดิมและโครงการใหม่ โดยโครงการเดิมบริษัทมีแผนที่จะขุดเจาะสำรวจเพิ่มเช่นโครงการนางนวล บริษัทได้เข้าไปสำรวจใน 4Q06 และขุดพบน้ำมันที่มีอัตราการไหล 9,050 BDPเราคาดว่าจะผลิตได้ทันใน 2Q07 แต่อัตราการผลิตจริงยังไม่ทราบแน่ชัดแต่คาดว่าไม่น้อยกว่า 9,050 BPD ส่วนโครงการใหม่ได้แก่ โครงการแปลง M9 ในประเทศพม่าซึ่งบริษัทได้เข้าไปสำรวจใน4Q06E และพบก๊าซธรรมชาติที่มี อัตราการไหล 71.4 MMSCFD จากการขุดพบปิโตรเลียมใน 2 โครงการดังกล่าวส่งผลให้อัตราการผลผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยเราประมาณว่าในปี FY07E บริษัทจะมีความสามารถผลิตปิโตรเลียมได้ เท่ากับ 198 BOEDเพิ่มขึ้นประมาณประมาณ 5.3% จากที่ประมาณไว้เดิมทั้งนี้เรายังไม่รวมผลผลิตจากแปลง M9ในพม่าไว้ในประมาณการ เนื่องจากบริษัทต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาหลุมอีก 1-2 ปีประกอบกับกำลังการผลิตที่ได้ยังไม่ชัดเจน

บล.บัวหลวงแนะนำซื้ IRPราคาเป้าหมาย 9.00 บาทแม้ว่ากำลังการผลิตส่วนเกินของ PET น่าจะยังคงอยู่ตลอดปี 2550 แต่จากตัวเลขการประมาณการการเติบโตของความต้องการใช้ PET ทั่วโลกที่ระดับ 7-8% ต่อปีในช่วง 2550-2552 จะส่งผลทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตน่าจะคงที่ในช่วงปี 2549-2550 ทั้งนี้ อัตราการใช้กำลังการผลิตน่าจะปรับตัวสูงขึ้นในปี 2551 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตPET ที่ค่อนข้างมีจำกัด ประกอบกับ ความต้องการใช้ PET ก็ยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้น เพื่อสะท้อนถึงกำลังการผลิตส่วนเกินทั่วโลกของ PET ที่เพิ่มขึ้น ส่วนต่างกำไรของ PET น่าจะมีแนวโน้มปรับลดลงในปี 2550 อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างกำไรน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของสาร PTA ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบในการผลิต PETทั้งนี้ส่วนต่างกำไรน่าจะฟื้นตัวขึ้นในปี 2551-2552 เนื่องจากกำลังการผลิต PET ที่ตึงตัวมากขึ้น ประกอบกับ อุปทานสาร PTA ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก หลังจากที่โครงการขยายกำลังการผลิตทั้งหมดแล้วเสร็จในครึ่งปีแรก ปี 2550 กำลังการผลิต PET ของกลุ่มบริษัทจะปรับตัวสูงขึ้นอีก49% มาอยู่ที่ 603,000 ตันต่อปีจากในปัจจุบันที่ 404,000 ตันต่อปี นอกจากนี้ IRP กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายกำลังการผลิตอีกกว่าเท่าตัว ซึ่งจะมีผลทำให้กำลังการผลิตรวมของกลุ่มบริษัทเพิ่มเป็น 1.22 ล้านตันต่อปี






[/color:3187511a7e">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com