May 12, 2024   12:01:31 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ
 

samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
วันที่: 11/01/2007 @ 10:32:05
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ที่มา : K.KRAZIP
SET Index วันพุธที่ 10 ม.ค. ปิดที่ 622.27 จุด +5.52จุด มูลค่าการซื้อขาย 16,661ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 1,404.94 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 122.71 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิที่
1,282.23 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ดัชนี 622.27จุด +5.52จุด และ Low ที่ดัชนี 608.14 จุด -8.61 จุด

ความหวาดกังวลจากคลื่นลูกที่สามที่เข้ามากระทบกับสภาพตลาดหุ้นไทยเริ่มหายตื่นตระหนกผ่อนคลายไปได้บ้างแม้ยังมีแรงขายอยู่มากในการซื้อขายช่วงเช้าแต่ดัชนีก็เริ่มกระเตื้องดีขึ้นก่อนปิดตลาดช่วงแรกและRebound ขึ้นเป็นบวกได้ในภาคบ่ายคาดว่านักลงทุนคงจะมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นจากมาตรการการแก้ใข พ.ร.บ.

การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวดังกล่าวรวมถึงมีสัญญาณดีดกลับทางเทคนิคเลยไม่หลุดลงไปมากเนื่องจากดัชนีเปิด (609.83จุด) มาใกล้เคียงกับแนวรับที่ 607-608 แล้วปรับลดลงจนแนวรับและก็ปรับตัวขึ้น

จากนั้นดัชนีสามารถยืนบวกอยู่ได้กระทั่งปิดทำการซึ่งหลังจบการชี้แจงในช่วงเช้าก็ทำให้ตลาดเริ่มดีขึ้นโดย ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวถึงว่าทางการไทยได้ผ่อนปรนสำหรับประเภทธุรกิจที่อยู่ในบัญชี 3 ที่ไม่จำเป็นต้องลดสิทธิ์การออกเสียงลงเพียงแต่ต้องแจ้งข้อมูลให้ถูกต้องเท่านั้นสำหรับสัดส่วนการถือหุ้นหากเกิดกว่ากฎหมายกำหนดจะต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นลงภายใน2 ปีและยังกล่าวถึงว่ารัฐบาลพร้อมที่จะรับข้อเสนอจากนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะประเด็นเรื่องของการทยอยลดสัดส่วนหุ้นภายใน1 ปีแต่ข้อเสนอต้องมีความยุติธรรมและขั้นตอนของกฎหมายในขณะนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้

SEAFCO ราคาเปิด 6.15บาท ราคาปิด 6.30บาท มูลค่าการซื้อขาย 97.99ล้านบาท

คาดการณ์รายได้ปี 49จะมากกว่าเป้าหมายที่ประมาณจากประสิทธิภาพการส่งมอบงานดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่ SEAFCOยังคงประมาณการว่ารายได้ปี 50 จะยังเติบโตประมาณ 15% จากปี49 จากงานในมือ 1,000

ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้หมดภายในครึ่งปีแรกและยังคงเข้าร่วมประมูลงานอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้คงสัดส่วนงานในมือให้อยู่ในระดับที่ดี ทั้งนี้ SEAFCOมีส่วนแบ่งทางการตลาดในปี 50 ในระดับใกล้เคียงปีก่อนที่ 45%ซึ่งถืออยู่ในระดับที่สูงกอปรกับในช่วงที่ผ่านมาราคหุ้นมีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง

บวกกับได้รับผลดีจากโครงการเมกะโปรเจ็คที่มีความคืบหน้า K.KRAZIP แนะนำซื้อลงทุน แนวรับ 6.10 บาท แนวต้าน 7 บาท

RATCH ราคาเปิด 39 บาท ราคาปิด 41.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 70.70 ล้านบาท เป็นหนึ่งผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีความพร้อมในการเข้าประมูลโรงไฟฟ้า IPPรอบใหม่ด้วยต้นทุนที่ได้เปรียบเทียบคู่แข่งรายอื่น
จากความพร้อมของที่ดินในการก่อนสร้างและระบบสาธารณูปโภคต่างๆรวมถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง คาดว่า RATCH มีโอกาสจะชนะประมูลโรงไฟฟ้าและจากจุดเด่นในความเป็นหุ้น Defensive ที่ผลประกอบการมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอกต่ำกอปรกับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับ 5.1% ส่งผลให้ RATCH

มีจุดเด่นในการเข้าลงทุน K.KRAZIP แนะนำ ซื้อลงทุน แนวรับ 40.75 บาท แนวต้าน 43 บาท

PTT ราคาเปิด 190.00 บาท ราคาปิด 196.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 940.62 ล้านบาท บรรยากาศการลงทุนใน PTT น่าจะเริ่มเปลี่ยนเป็นบวกเนื่องจากคาดว่าจะมีปัจจัยบวกต่อราคาหุ้นในระยะสั้นคือ ปัญหาข้อขัดแย้งทางกฏหมายของ PTT น่าจะมีทางออกที่เป็นผลดีต่อบริษัทฯเพราะในปัจจุบันหลายฝ่ายในรัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวและคาดว่า PTT จะได้รับอนุมัติในการปรับขึ้นอัตราค่าส่งแก๊สท่อส่งแก๊สซึ่งจะช่วยทำให้รายได้และกระแสเงินสดจากธุรกิจส่งแก๊สของ PTT มีเสถียรภาพมากขึ้น

ส่วนภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มอ่อนตัวก็มีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อ PTT โดยธุรกิจจำหน่ายแก๊สน่าจะขยายตัว 10% ในปีนี้จากปริมาณความต้องการที่ยังเติบโตภายหลังการติดตั้งท่อส่งแก๊สท่อที่ 3 ที่จะเริ่มเปิดให้บริการในราวปลายเดือน ม.ค.นี้ ส่วนปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์ refined oil ก็น่าจะเติบโตในทิศทางที่สอดคล้องกับการขยายตัวของ GDP ในขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัทลูกก็น่าจะมีปริมาณจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น

K.KRAZIP มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะ ?ซื้อ? เพื่อลงทุนในระยะยาว เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันน่าจะเริ่มฟื้นตัวใน 2H07 และปรับขึ้นต่อเนื่องในปีหน้า และเชื่อมั่นในศักยภาพการขยายตัวของ PTT
ในระยะยาวเนื่องจากโครงการหลักๆ จะเริ่มเสร็จสมบูรณ์ในปี 2009 แนะนำ ซื้อลงทุน โดยมีแนวรับ 192 บาท แนวต้าน 206 บาท

KBANK ราคาเปิด 52.00 บาท ราคาปิด 54.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 572.78 ล้านบาท KBANK ได้ตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจรายย่อย ในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 30%จากปีก่อนที่มีรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจรายย่อย 6 พันล้านบาท ซึ่งในปี 49ธนาคารมีรายได้ค่าธรรมเนียมชำระเงิน 240 ล้านบาทโดยมูลค่าการชำระเงินของลูกค้าผ่านทุกช่องทางอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาทโดยรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจรายย่อยที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ จะมาจากการออกแคมเปญและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆรวมทั้งการเพิ่มบริการที่อำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ธนาคารยังมีแผนที่จะเพิ่มสาขาในปีนี้อีก 42 แห่งซึ่งจะทำให้มีสาขารวมทั้งสิ้น 612 สาขา

ซึ่งมองว่าการขยายสาขายังไม่ถึงจุดอิ่มตัวเพราะเป็นการเพิ่มช่องทางโดยการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากขึ้น

นอกจากนี้ธนาคารมีแผนที่จะเพิ่มตู้ ATM อีก 600 ตู้ในปีนี้และธนาคารตั้งเป้าจำนวนบัตร ATM ในปีนี้ไว้ที่ 5.3 ล้านใบ ส่วนความร่วมมือกับDTAC ให้ลูกค้าสามารถชำระเงินค่าบริการโทรศัพท์รายเดือนผ่าน ATM ของธนาคารนั้นทาง DTAC จะเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมให้ทางธนาคาร โดยคิดค่าธรรมเนียมรายการละ 10 ? 15 บาท K.KRAZIPมองว่าธุระกิจของธนาคารมีความมั่นคงดีและเริ่มเติบโตต่อเนื่อง แนะนำ ซื้อ โดยมีแนวรับ 52 บาท แนวต้าน 56 บาท
K.KRAZIP 11/01/2550

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com