May 12, 2024   5:41:20 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบหน้าจอ.....มาแล้ววววววว
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 12/01/2007 @ 11:45:26
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SET Index วันพฤหัสบดีที่ 11 ม.ค.
ปิดที่ 637.63 จุด +15.36จุด มูลค่าการซื้อขาย 21,546ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 2057.82 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 138.08 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิที่ 2195.90 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ดัชนี 639.47จุด +17.20จุด และ Low ที่ดัชนี 625.65 จุด +3.38 จุด ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้เปิดตลาดที่จุดต่ำสุดของวันโดยปรับขึ้นแรงต่อเนื่องจากเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเฉพาะหุ้นแบงค์ที่มีแรงซื้อเข้ามามากหลังหลายโบรกเกอร์ คาดการณ์ว่าหุ้นธนาคารไม่ถูกกระทบจากการแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว เนื่องจากสถาบันการเงินมีกฎหมายเฉพาะควบคุมอยู่แล้วซึ่งกำลังรอเข้าสู่การพิจารณาของสนช. รวมถึงหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามามากเช่นกันอย่างหุ้นพลังงานก็มีแรงซื้อมากสวนทางกับราคาน้ำมันโลกที่อ่อนตัวลง ทั้งหุ้นขนาดใหญ่-กลาง-เล็กมาเช็คชื่อในกระดานกันถ้วนหน้าให้บรรดาเซียนหุ้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังต้องแห้วเหี่ยวกันมานาน โดยมูลค่าการซื้อขายของตลาดก็มิได้น้อยหน้ากับวันอังคารที่ผ่านมาที่ดัชนีปิดลงไป 17 จุดที่มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 20 ล้านบาท (เหมือนมีใครมาทุบแล้วซื้อคืน)

KSL
ราคาเปิด 9.40 บาท ราคาปิด 9.35 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.55 ล้านบาท แนวโน้มปี 2550 คาดว่าปริมาณอ้อยเข้าหีบจะสูงถึง 5.2 ล้านตัน ซึ่งจะได้ปริมาณน้ำตาลที่ 5.2 แสนตัน เพิ่มขึ้นราว 30% จากปีก่อน ถึงแม้ปริมาณน้ำตาลจะสูงขึ้น แต่ราคาขายในประเทศจะไม่ลดลง และราคาส่งออกคาดว่าจะทรงตัวในระดับ 13,000 บาท/ตันได้ เนื่องจากผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่อย่างบราซิล นำผลผลิตส่วนหนึ่งไปทำเอทานอล ซึ่งจะ ช่วยพยุงราคาน้ำตาลโลกได้ ส่วนราคาเอทานอลปีนี้คาดว่าจะปรับลดลงจากเฉลี่ยที่ 23 บาท/ลิตร มาเป็น 20-21 บาท/ลิตร แต่คาดว่าจะผลิตเต็มกำลังการผลิตที่ 45 ล้านลิตร เนื่องจากมีปริมาณกากน้ำตาลเพียงพอ ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรจากการขายเอทานอลเท่ากับ 285 ล้านบาท ด้านธุรกิจโรงไฟฟ้าเริ่มเดินเครื่องแล้วและคาดว่าจะสามารถสร้างกำไรในปีนี้ได้ อย่างไรก็ดี โครงการปลูกอ้อยในลาวอาจต้องล่าช้าไป 1 ปี ดังนั้นจากโครงการเอทานอลและโรงไฟฟ้าที่ช่วยผลักดันให้มีกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคต คาดว่า KSL จะมีการประกาศจ่ายเงินปันผลที่ 0.22 บาท/หุ้น ราวปลายเดือน ม.ค. 50 K.KRAZIP มีความเห็นว่า KSL เป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่อง จากแผนการขยายธุรกิจ แนะนำ ซื้อลงทุน แนวรับ 9.30 บาท แนวต้าน 9.80 บาท

BECL
ราคาเปิด 22.20 บาท ราคาปิด 22.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 80.431 ล้านบาท คาดการณ์ประมาณการกำไรสุทธิปี 49 ที่ 1.5 พันลบ. จากการเติบโตของปริมาณจราจรบนทางด่วน โดยรับผลบวกอย่างเห็นได้ชัดเจน จากปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นหลังการเปิดดำเนินการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/49 มีอัตราการขยายตัวที่ 6% เทียบกับช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 48 ที่เฉลี่ย 2.7% ในขณะที่รายได้ค่าผ่านทางต่อวันในไตรมาส 4/49 อยู่ที่ 19.90 บาท เทียบกับช่วง 9 เดือนแรก ที่ 18.75 บาท และถึงแม้ว่าการเติบโตของกำไรสุทธิจะไม่โดดเด่น แต่ก็เป็นหุ้นสาธารณูปโภคที่ให้เงินปันผลแน่นอนในระยะยาว รวมทั้งผลตอบแทนการลงทุนในอนาคตจาก บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) และบจ.น้ำประปาไทย (TTW) K.KRAZIP แนะนำ ซื้อลงทุน แนวรับ 22 บาท แนวต้าน 22.70 บาท

GLOW
ราคาเปิด 31.25 บาท ราคาปิด 31.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 42.84 ล้านบาท ผู้บริหารของ GLOW ได้กล่าวถึงการเข้าประมูลโครงการIPPรอบใหม่ว่า ขณะนี้ GLOWมีความพร้อมในการที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการ IPP รอบใหม่ ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวมาอย่างตลอดและต่อเนื่อง GLOWคาดว่า ทางภาครัฐจะเปิดให้ประมูลประมาณเดือนเมษายนนี้ ซึ่งหวังว่า จะชนะการประมูลโครงการดังกล่าว งานประมาณ 700 เมกะวัตต์ ส่วนงบลงทุนได้เตรียมไว้ประมาณ 40,000 ล้านบาท ขณะนี้ GLOWได้งานจากกลุ่มลูกค้า SCC มาแล้ว และยังมีลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจราและตัดสินใจ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ ส่วนแนวโน้มของอุตสาหกรรมไฟฟ้าในปีนี้ K.KRAZIP มองว่าน่าจะยังคงมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คงเป็นการเติบโตที่มั่นคงมากกว่าที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดด และ GLOW ได้เซ็นสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี ให้กับบริษัทมาบตาพุด โอเลฟินส์ และบริษัทโพลิเอททิลีน จะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 100-120 เมกะวัตต์ ซึ่งจะได้รับการพิจารณาในQ 1/50 GLOW ยืนยันจะจ่ายเงินปันผลงวดปี 2549 อย่างแน่นอน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าจะจ่ายในอัตราเท่าใด ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อ แนวรับ29.50 บาท แนวต้าน 32.50 บาท

MINT
ราคาเปิด 10.50 บาท ราคาปิด 10.80 บาท มูลค่าการซื้อขาย 34.47 ล้านบาท MINT เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานปี 2550 ว่าในส่วนของธุรกิจโรงแรมMINT จะเปิดโรงแรม Four Seasons ที่สมุย ประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้ และยังมีโรงแรมอันนันทรา ภูเก็ต วิลล่า ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ สำหรับแผนการลงทุนในปี2550 MINT ได้เตรียมงบลงทุนทั้งในส่วนของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารไว้ประมาณ 5,000 ล้านบาท 2552สำหรับในส่วนของธุรกิจอาหารนั้น ทางบริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มในประเทศจีน เชื่อว่าทุกอย่างน่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อ MINT โดยในปี 2550 จากการคาดว่าจะเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งคือ โรงแรมนาราดูในเกาะมัลดีฟ และโรงแรม Four Seasons บนเกาะสมุย ประกอบกับการขยายตัวด้านธุรกิจอาหารทั้งในประเทศและต่างประเทศ และทั้งที่เป็นเจ้าของเองและที่เป็นแฟรนไชด์ จะส่งผลให้ในปี2550 MINT จะมีรายได้เติบโต 12% YoY เท่ากับ 13,438 ล้านบาทและกำไรสุทธิเติบโต 17% เท่ากับ 1,508 ล้านบาท K.KRAZIP แนะนำ ซื้อ แนวรับ 10.50 บาท แนวต้าน 11.20 บาท

ที่มา ทันหุ้น[/color:fdda09a57e">

.0008 .0008

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com