April 28, 2024   5:35:10 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นแบงก์ปีหมูโตได้จริงหรือ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 19/01/2007 @ 23:25:12
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังคงครองใจมหาชนนักลงทุนมาโดยตลอด ไม่ว่าครั้งใดที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับลดลงไปจนถึงระดับที่น่าสนใจเก็บหุ้นถูกจะต้องมีคำแนะนำ ?ซื้อ? หุ้นกลุ่มดังกล่าวแทบทุกครั้ง ซึ่งในปี 2549 ที่ผ่านมาเป็นปีที่เอื้อต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์เพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมีมากขึ้นเช่นกัน อีกทั้งมีความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน แต่ในปี 2550สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่ออัตราดอกเบี้ยกลับเข้าสู่ช่วงขาลง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนหลังจากเมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร(อาร์/พี)ระยะ 1 วันลงจาก 4.937% เป็น 4.75% ซึ่งหากธนาคารพาณิชย์ปรับอัตราดอกเบี้ยลงทั้งเงินกู้และเงินฝาก จะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลดลงเช่นกัน

อีกทั้งยังมีประเด็นที่ธปท.จะกำหนดเพดานเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง เพิ่มขึ้นจากเดิมไม่ต่ำกว่า 8.5% เป็น 9.5% ทำให้ความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนของบางธนาคารกลับมาอีกครั้ง นอกจากนี้ธปท.ยังสามารถสั่งให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนได้ทันทีหากเห็นว่าไม่มีความพร้อมหรือฐานะกองทุนอยู่ระดับต่ำ จึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปีนี้จะถูกส่งเข้าชิงตำแหน่งหุ้นสวยรวยเสน่ห์อีกต่อไปหรือไม่

ส่วนทิศทางธนาคารพาณิชย์ปี2550 มีเพียงธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANK ที่ประกาศเป้าการเติบโตของสินเชื่อปีนี้ที่ 8-13% ,ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) SCB ตั้งเป้าสินเชื่อโต 25% ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) BBL ตั้งเป้าเติบโตของสินเชื่อโต 5% และธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน) TMB ที่ประกาศเป้าสินเชื่อโต 6-7% ซึ่งนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด มองว่า สาเหตุที่ธนาคารต่างๆยังไม่ประกาศเป้าสินเชื่อเนื่องจากยังคงรอดูความชัดเจนของการเติบโตทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีผลต่อการปล่อยสินเชื่อ

BAYผนึกจีอีฐานะแกร่ง
แต่หากพิจารณาเป็นรายธนาคารพบว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) BAY เป็นธนาคารที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากหลังจากที่ขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับจีอี แคปปิตอล อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น( GECIH )จำนวน 1,391 ล้านหุ้น

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ฟาร์อีสท์ จำกัด ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา BAY เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีราคาหุ้นปรับขึ้นมาก รองจาก SCB เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรจากข่าวการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของจีอี โดยในไตรมาสสุดท้ายของปี2549 ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 21.40 บาท แม้ว่าประมาณการกำไรสุทธิไตรมาส 4/2549 จะปรับตัวลดลง

ทั้งนี้คาดว่าหลังจากที่กลุ่มจีอีเข้ามาแล้วเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะอยู่ที่ 17.5% เป็นกองทุนขั้นที่ 1 จำนวน 13% จึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องการเพิ่มทุน และมองว่าปีนี้การปล่อยสินเชื่อจะเติบโตมากขึ้น เพราะจีอีมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจรายย่อย และมีความพร้อมด้านระบบ จึงมองว่าราคาหุ้น BAY ปีนี้จะยังคงน่าสนใจต่อเนื่อง

SCBสินเชื่อเด่นสุด
ในปี 2549 ที่ผ่านมา ราคาหุ้น SCB ถือว่าปรับตัวขึ้นสูงสุด เนื่องจากเป็นธนาคารเดียวที่มีการเติบโตได้ตามเป้า 10% และคาดว่าปี 2550 สินเชื่อจะมีการเติบโตดีขึ้นเช่นกัน โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด เห็นว่า สินเชื่อของ SCB ปีนี้จะโตอย่างโดดเด่นเพราะมีช่องทางการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อชัดเจน เพราะเป็นธนาคารเดียวที่มีช่องทางการเปิดให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อผ่านเคาท์เตอร์ของธนาคาร ขณะที่ธนาคารอื่นยังเปิดให้บริการผ่านบริษัทในเครือ

อย่างไรก็ตามมองว่าสินเชื่อของ SCB ปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่มองว่าเป้าที่ธนาคารตั้งไว้ 25% เป็นเป้าที่สูงเกินไป ส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 อยู่ที่ 12.6% แม้ว่าไตรมาส 4/2549 กำไรสุทธิปรับลดลง 283 ล้านบาท และกำไรทั้งปีลดลง 29.6%

KBANKแชมป์ส่วนต่างดบ.รับ
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า KBANK เป็นธนาคารที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากในอันดับต้นๆของกลุ่ม เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีต่างชาติถือหุ้นในสัดส่วนมาก เมื่อมีการโยกเงินลงทุนออกนอกประเทศจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับลดลง แต่ KBANK เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เนื่องจากมีแผนปล่อยสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าสินเชื่อรายใหญ่ และคาดว่า KBANK จะสามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุด แม้ปีนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง แต่เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในครึ่งปีหลัง แม้ว่าธปท.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปเมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา

สำหรับไตรมาส 4/2549 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 3,428.51 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.44 บาท เพิ่มขึ้นเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,075.54 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.29 บาท ส่วนทั้งปีมีกำไรสุทธิ 13,644.04 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 5.74 บาท ลดลงเทียบกับปี 2548 ที่มีกำไรสุทธิ 13,929.85 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 5.87 บาท และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) อยู่ที่ 20,885.83 ล้านบาท คิดเป็น 3.17%

BBLผันผวนน้อยสุด
ธนาคารขนาดใหญ่ ที่ราคาหุ้นผันผวนน้อยสุด เช่น ธนาคารกรุงเทพ(BBL)นักวิเคราะห์มองว่า ปกติราคาหุ้น BBL จะมีความผันผวนน้อยที่สุด ยกเว้นช่วงก่อนสิ้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีความได้เปรียบจากการมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ สภาพคล่องสูงที่รองรับการเติบโตของสินเชื่อในอนาคตได้ อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าอยู่ระดับต่ำ โดยมีการซื้อขายเพียง 1.19 เท่าของมูลค่าทางบัญชี คงคำแนะนำ ?ซื้อ? อีกทั้งเป็นหุ้นที่คาดว่าจะมีการจ่ายปันผล 3.50 บาท ต่อหุ้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่าจะมีการตั้งสำรองในสัดส่วนเท่าใด

SCIBปันผลสูง
ครองแชมป์ธนาคารที่มีความน่าสนใจในการจ่ายปันผล โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ซิกโก้ จำกัด(มหาชน)คาดปี2549 SCIB จะจ่ายปันผลได้ 1.06 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นปันผลตอบแทน 6%

อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมานับจากช่วงต้นปี SCIB นับเป็นอีกธนาคารที่ถูกจับตามองเรื่องการมีพันธมติรหลังจากที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ประกาศลดสัดส่วนการถือหุ้นของธนาคาร แต่ข่าวดังกล่าวต้องเงียบไปเพราะถูกกลบด้วยข่าวการสรรหากรรมการผู้จัดการใหญ่ที่ยังไม่มีบทสรุปจนกระทั่งปัจจุบัน

ล่าสุดแจ้งกำไรงวด1ปี(สิ้นสุด31 ธ.ค.49)มีกำไรสุทธิ 4,257.80 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.02 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 6,264.99 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.97 บาท

KTBกำไรโตเหนือกลุ่ม
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด ประมาณการกำไรสุทธิปี 2549 KTB โต 10% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นเติบโตมากที่สุดในกลุ่ม อีกทั้งไตรมาส 1/ 2550 จะมีรายได้พิเศษจากกองทุนวายุภักษ์ 875.75 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม KTB เป็นอีกหนึ่งธนาคารที่มีความเสี่ยงในเรื่องการเพิ่มทุน แม้ว่าปี 2549 ที่ผ่านมาได้มีการออกตราสารหนี้ลักษณะคล้ายทุน(ไฮบริด บอนด์) ที่สามารถนำไปรวมในเงินกองทุนขั้นที่ 1 ได้ แต่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด(มหาชน)ประเมินว่า KTB หลังจากที่มีการตั้งสำรองตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชีใหม่แล้ว KTB จะมีเงินกองทุนขั้นที่ 1 อยู่ที่ 8.66% ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยง

TMBสำรองต่ำ
ล่าสุดธนาคารทหารไทยได้รายงานงบงวด 1 ปี(สิ้นสุด 31 ธ.ค.49)ขาดทุนสุทธิ 12,282.76 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.86 บาท เทียบงวดเดียวกันปี2548มีกำไรสุทธิ 7,800.49 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.59 บาท และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ไตรมาส 4/2549 จำนวน 33,279,277,565.38 บาท หรือคิดเป็น 6.33% ของเงินให้สินเชื่อรวมหลังหักเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ

ทั้งนี้TMBเป็นอีกธนาคารหนึ่งที่มีความกังวลเรื่องการเพิ่มทุน แม้ว่าที่ผ่านมาผู้บริหารจะปฏิเสธถึงกรณีดังกล่าว แต่ TMB เป็นธนาคารที่มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง อยู่ในระดับต่ำที่12.78% อีกทั้งยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดกระทรวงการคลังได้เปิดเผยว่าจะไม่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องการเพิ่มทุน

ครองใจต่างชาติ
อย่างไรก็ตามแม้ว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์จะมีปัจจัยลบเข้ามากในปีนี้ แต่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากสำนักต่างๆยังคงลงความเห็นสอดคล้องในทางเดียวกันว่า ยังเป็นหุ้นแนะนำ?ซื้อ?สำหรับปี2550เนื่องจากเป็นหุ้นที่อยู่ในความสนใจของต่างชาติเพราะมีมูลค่าทางการตลาดขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องที่ดี อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าปรับลดลงมากแล้ว และแม้ว่าแนวโน้มดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลง และส่งผลกระทบต่อกำไรขั้นต้น แต่เชื่อว่าต้นทุนของธนาคารจะทยอยปรับลดลงเช่นกัน

อีกทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังมีประเด็นของการจ่ายปันผลของกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งงวดไตรมาส 1/2550 คาดว่าKTB จะได้รับเงินปันผลมากที่สุด 875.85 ล้านบาท รองลงมาคือ SCB 297 ล้านบาท SCIB 161.97 ล้านบาท BT 75 ล้านบาท และBAY 51.63 ล้านบาท



.00020


[/color:daae26b59e">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com