April 28, 2024   8:02:57 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นไทยในก้าวย่างแห่งความผันผวน
 

samjin
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 352
วันที่: 21/01/2007 @ 13:22:44
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

3 สัปดาห์ผ่านไป แต่ดูเหมือนตลาดหุ้นไทยปีหมูไฟ ยังเป็นอะไรที่คาดการณ์ได้ยาก เพราะตลาดหุ้นไทยยังคงถูกปกคลุมด้วยความไม่ชัดเจนในหลายๆ เรื่อง รวมทั้งความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนระยะยาว ซึ่งเกิดจากความไม่สามารถที่จะคาดการณ์ไปในอนาคตข้างหน้าได้ ซึ่งต่างไปจากภาวะปกติซึ่งนักลงทุนระยะยาวเมื่อจะตัดสินใจลงทุนนั้น ก็เพราะมองเห็นว่าอนาคตข้างหน้าจะดี แต่ปัจจุบันนักลงทุนระยะยาวไม่สามารถที่จะคาดการณ์ไปข้างหน้าได้

นอกจากนี้ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในอนาคตจะมีเรื่องราวอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นมาอีกหรือไม่ นี่เป็นเหตุผลหลักที่ฉุดรั้งตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันเอาไว้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ บอกว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน จัดเป็น Trading Market ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติไปแล้ว เพราะมองไป 6 เดือน ถึง 1 ปีข้างหน้า ก็เป็นอะไรที่มองได้ยากและมองไม่ออก เพราะประเทศไทยเองยังไม่นิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเมืองก็ดี หรือเศรษฐกิจก็ดี

ความไม่แน่นอนเหล่านี้ยังจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในปี 2550 มีความผันผวนที่รุนแรงมากขึ้นกว่าปี 2549 และจะเป็นไปในลักษณะนี้ตลอดรัฐบาลชุดนี้ด้วย เพราะนักลงทุนไม่มีความมั่นใจ เป็นอะไรที่พอเข้าใจได้ เพราะถ้าเราเป็นนักลงทุนต่างประเทศก็คงต้องกลัวไว้ก่อนเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นความเสี่ยงอันเนื่องมาจากนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการควบคุมเงินทุน ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศค่อนข้างมาก

ในขณะที่เหตุการณ์ระเบิดเป็นอะไรที่นักลงทุนต่างชาติสามารถที่จะรับได้ ตลาดหุ้นไทยจึงมีความเสี่ยงสูงในแง่ของความไม่แน่ใจกับมาตรการต่างๆ ที่จะตามออกมาอีกในอนาคต นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงของกำไรบริษัทจดทะเบียน ซึ่งโบรกเกอร์ต่างๆ มีการทยอยปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนลงมา ซึ่งประเด็นนี้ก็ยังไม่ทราบว่าจะมีการปรับลดประมาณการของตลาดลงมาอีกหรือไม่ในอนาคต

ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาดีได้นั้น นักลงทุนจะต้องมองภาพอนาคตออกว่าในอีก 6 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้า จะเป็นยังไง อีก 3-5 ปีข้างหน้าจะเป็นยังไง ประเด็นตอนนี้ คือ มองไปข้างหน้าแล้วไม่เห็นความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองก็ดี หรือเศรษฐกิจก็ดี อย่าว่าแต่นักลงทุนต่างชาติเลย นักลงทุนไทยเองก็มองไม่ออก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติไม่ทิ้งตลาดหุ้นไทย เพราะมีโอกาสในการทำกำไร ยังไงเขาก็ต้องมา

ไพบูลย์อธิบายเพิ่มเติมว่า ราคาตลาดหุ้นนั้นเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ กำไร มาคูณด้วยตัวทวีซึ่งก็คือ ราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E) ในภาวะปกติ หากกำไรบริษัทจดทะเบียนเท่าเดิม ตลาดจะขึ้นหรือลงก็อยู่ที่ P/E แต่เมื่อประเทศไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น ค่า P/E นี้จึงถูกปรับลดลงมาด้วย ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยที่เคย P/E 9 เท่าแล้วบอกว่าถูกนั้น ในปัจจุบันลงมาเหลือ 7 เท่า อาจจะเป็นอะไรที่แพงไปแล้วก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าความเสี่ยงของตลาดตรงนี้จะทำให้ P/E ลดลงไปจนเหลือ 6 เท่าหรือเปล่าในอนาคต

ตอนนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 620-650 จุด ที่หลายคนว่าถูก ถ้าตัวเลขต่างๆ ออกมาไม่ดี ตรงนี้อาจจะแพงก็ได้ ดังนั้นทาง บล.ทิสโก้จึงมีการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2550 ลงมาเหลือ 1% และปรับกรอบดัชนีสิ้นปีอยู่ระหว่าง 520-780 จุด ซึ่งจะเห็นว่ากรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีจะกว้างขึ้น

อีก 3 เดือนจากนี้ไปทั้งกำไรบริษัทจดทะเบียนเองก็ยังไม่นิ่ง P/E ของตลาดเองก็ยังไม่นิ่ง ดังนั้นตลาดจึงสามารถที่จะปรับขึ้นหรือลงก็ได้ ส่วนจะเป็นแนวโน้มขึ้นหรือลงคงขึ้นกับว่าทางออกทางการเมืองจะเป็นยังไง

ในขณะที่ ชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่า มาตรการของทางแบงก์ชาติที่ออกมานั้น วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อที่จะสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท หากค่าเงินบาทเริ่มมีเสถียรภาพ เชื่อว่าทางแบงก์ชาติเองจะมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ลง ซึ่งโดยพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศไทยเองนั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่ราคาหุ้นก็ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ถ้ากำไรบริษัทจดทะเบียนยังโตได้ในระดับ 8-9% มีการจ่ายเงินปันผลสูงกว่า 5% เศรษฐกิจของประเทศยังโตได้ 4.25-4.75% สุดท้ายแล้วยังไงนักลงทุนต่างชาติก็จะต้องกลับเข้ามาลงทุน

อย่างไรก็ตาม ในปี 2550 สำหรับการลงทุนในหุ้นคงเป็นอีกปีที่ค่อนข้างลำบาก เพราะตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนมากขึ้น โดยเราให้กรอบดัชนีเอาไว้ที่ 580-700 จุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับที่สูง เฉลี่ยสูงกว่า 5% ซึ่งสูงกว่าในภูมิภาคที่จ่ายปันผลประมาณ 3% เท่านั้น ส่วนนี้ก็น่าจะช่วยให้ผู้ลงทุนในหุ้นมีความสามารถในการที่จะต้านทานสภาพความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในปี 2550 นี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย

ทั้งนี้ มองว่าด้วยปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยเอง และหากไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะหลุดระดับ 600 จุดลงมานั้น มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก และโอกาสที่ดัชนีจะมีการปรับตัวขึ้นได้นั้น ก็น่าจะติดตามมาจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ดี กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดี การจ่ายเงินปันผลที่ดีแบบนี้ก็มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้น แต่หากสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดหวังเอาไว้ ความไม่แน่นอนต่างยังคงมีอยู่ ตลาดหุ้นไทยก็จะมีความผันผวนมากขึ้นกว่านี้

ด้าน ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ มองว่า ปี 2550 นี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการเคลื่อนไหวในลักษณะที่มีความผันผวนมากขึ้นกว่าในอดีต จากปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ รวมถึงความไม่แน่นอนในมาตรการต่างๆ ของทางภาครัฐที่ออกมา รวมทั้งปัจจัยเรื่องการเมืองเองด้วย ที่จะเป็นปัจจัยลบที่กดดันทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2550 นี้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในวิกฤติก็ยังมีโอกาสอยู่บ้าง เพราะปัจจุบันพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยเองยังคงแข็งแกร่งอยู่ในระยะปานกลางถึงยาว อีกทั้งมูลค่าของตลาดหุ้นเองก็ปรับตัวลงมามากจนอยู่ในระดับที่ไม่แพงมากนัก ซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อทิศทางของกองทุนหุ้นให้ยังมีดีมานด์เข้ามาลงทุนจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องได้ในปีนี้ โดยเรามองว่าดัชนีสิ้นปี 2550 น่าจะอยู่ที่ระดับ 720 จุด

ดังนั้น ตลาดหุ้นในปีหมูนี้ จึงเป็นอีกปีที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากอีกปีหนึ่งเลยทีเดียว

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com