ทิศทางตลาดหุ้นตลอดปี 2549 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นปีที่ราคาหุ้นกลุ่มบลูชิพมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะภายหลังการออกมาตรการสำรอง 30% เพื่อสกัดการเก็งกำไรของธปท.รวมถึงการแก้ไขกฎหมายธุรกิจคนต่างด้าว ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มีความเชื่อมั่น ที่จะนำเม็ดเงินใหม่ๆเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ในอีกทางหนึ่ง ประเด็นดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนต่างชาติ จึงทำให้มีการเทขายหุ้นขนาดใหญ่ทิ้งออกมาอย่างต่อเนื่อง

ความไม่แน่นอนเหล่านี้ ทำให้นักลงทุนทุกกลุ่มต่าง wait and see เพื่อให้เหตุการณ์ดังกล่าวคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี ในระหว่างที่รอความชัดเจนในเรื่องต่างๆ ในภาวะตลาดหุ้นผันผวนเหล่านี้ ทำให้นักลงทุนไม่สนใจที่จะเล่นหุ้นพื้นฐาน แต่กลับให้ความสำคัญที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นเล็ก ราคาถูกในช่วงที่ยังรอความชัดเจนอยู่

สำหรับ วอร์แรนต์หรือใบสำคัญแสดงสิทธิ์ในการซื้อหุ้น เป็นหุ้นประเภทหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนไม่น้อย เนื่องจาก วอแรนต์เป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่มีความหวือหวาในการขึ้นลงของราคาสูง ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนน้อยใหญ่ ที่เลือกเข้ามาลงทุน

ข่าวหุ้นธุรกิจ ได้รวบรวมข้อมูลความเคลื่อนไหวของราคาวอแรนต์ปี 2549ตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2548 - 31 ธ.ค. 2549 เพื่อให้นักลงทุนได้ทราบว่าความหวือหวาของวอร์แรนต์ในช่วงที่ผ่านมามีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร โดยครั้งนี้สำรวจจากราคาวอแรนต์ทั้งหมด 77 ตัว มีวอแรนต์ปรับเพิ่มขึ้น 35 ตัว และวอแรนต์ราคาลดลง 42 ตัว

สำหรับวอแรนต์ที่ราคาเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในปี 2549 คือ PATKL-W1 หุ้นลูกบริษัท

บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) หรือ PATKLประกอบธุรกิจด้านวิศวกรรมเครื่องทำความเย็น และเครื่องจักรผลิตอาหาร รับออกแบบผลิต สร้าง ติดตั้ง และจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ราคาเพิ่มขึ้น 297.44 % มาที่ 1.55 บาท จากเดิม 0.39 บาท

ทั้งนี้ PATKL-W1 นับว่าน่าสนใจ เพราะเมื่อดูผลการดำเนินงานหุ้นแม่ที่ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง PATKL-W1 จึงปรับตัวขึ้นแรง ยิ่งผลการดำเนินงานปี 2549 ในรอบ 9เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 81.13 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 52.68 ล้านบาทขณะเดียวกันข่าวสำหรับแผนธุรกิจของ PATKL ในปี 2550 นั้น บริษัทฯจะเน้นการขยายการตลาดของธุรกิจหลักในต่างประเทศ

โดยในปีที่ผ่านมาธุรกิจพลังงานทดแทน เติบโตประมาณ 35-40% ขณะนี้บริษัทได้ระดมทีมวิศวกรและวางระบบการทำงานที่ทันสมัย เพื่อขยายขีดความสามารถในการรับงาน โดยคาดว่าในปี 2550 บริษัทฯคาดว่าจะรับสร้างโรงงานเอทานอลอีกประมาณ 2 แห่ง

ส่วนปี 2550 บริษัทฯคาดว่ากำไรสุทธิเติบโตประมาณ 50% จากปีนี้ สาเหตุเนื่องจากยอดขายขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจเอทานอล ขณะเดียวกันบริษัทฯไม่ต้องมีการเสียภาษีทำให้บริษัทฯได้ประโยชน์ หนุนให้กำไรสุทธิของบริษัทฯเติบโต นอกจากนี้ บริษัทฯมั่นใจว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้นงวดปี 2549 ได้สูงกว่าปี 2548 ที่จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.10 บาท/หุ้น ทำให้ PATKL ทั้งแม่และลูกปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อันดับ 2 NEP-W1 ราคาเพิ่มขึ้นกว่า 255.10% มาที่ 3.48 บาท จากเดิม 0.98บาท

สำหรับวอแรนต์รายนี้ปรับตัวแรง เป็นผลมาจากหุ้นแม่ NEP หรือ บริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2549ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 3,000%เป็น 40.15 จากงวดเดียวกันปี 2548อยู่ที่1.16 ล้านบาท ขณะเดียวกันราคา NEP แม่ลูกมีราคาถูกทำให้นักลงทุนแห่เข้ามาเก็งกำไรเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคา NEP และ NEP-W1 ปรับตัวแรงตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2549 จนถึงขณะนี้

อันดับ 3 S&P-W1 ราคาเพิ่มขึ้น 229.55% มาที่ระดับ 14.50 บาท จากเดิมที่ 4.40 บาท เนื่องจากราคาวอแรนต์ปรับตัวขึ้นแรงตามหุ้นแม่ S&P หรือ บริษัท เอส แอนด์ พีซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หลังจากกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2549 ที่ ผ่านมามีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 63.81 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 55.35 ล้านบาท

อันดับ 4 TASCO-W2 ราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 128.33% จากเดิมอยู่ที่ 13.70บาท มาอยู่ที่ 6.00 บาท วอแรนต์ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาหุ้นแม่ เนื่องจากช่วง1-2 ปีที่ผ่านมาบริษัททำกำไรไอย่างต่อเนื่อง ยิ่งผลการดำเนินงาน 9 เดือน 2549 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 208.01 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี 2548 อยู่ที่ 183.39 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการปี 50 ของ TASCO คาดว่าจะเติบโตกว่า 35.47%จากกโรงกลั่นยางมะตอยในประเทศมาเลเซียที่คาดว่าจะสามารถเริ่มเดินสายการผลิตได้ช่วงเดือนมี.ค. 50 นี้ ส่งผลให้ TASCO จะมีวัตถุดิบสำหรับส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะจีนได้มากขึ้น โดย TASCO จะได้รับยางมะตอยจากโรงกลั่นดังกล่าวประมาณ 3 หมื่นตันต่อเดือน

ทั้งนี้ความต้องการในตลาดต่างประเทศคาดว่าจะยังแข็งแรงอยู่โดยเฉพาะในประเทศจีนซึ่งยังมีความต้องการยางมะตอยอยู่มาก ส่งผลให้ราคาขายยางมะตอยในจีนยังสามารถทรงตัวอยู่ได้ในระดับสูง แม้ราคาน้ำมันดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตจะมีการอ่อนตัวลงก็ตาม ทำให้ราคา TASCO แม่ลูกยังปรับตัวขึ้นได้อยู่

อันดับ 5 SPALI-W3 ราคาปรับเพิ่มขึ้น 114.43 % มาที่ระดับ 2.08 จากเดิม 0.97 บาท ราคาหุ้นปรับตัวแรงเป็นผลมาจาก ผลการดำเนินงานที่ทำกำไรต่อเนื่องและยังให้ปันผลอย่างสม่ำเสมอทำให้หุ้นรายนี้ปรับตัวขึ้นแรง

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นนั้นคือปีนี้เตรียมเปิดโครงการใหม่จำนวน 6 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ทั้งนี้ทำเลส่วนใหญ่ยังคงเน้นใกล้รถไฟฟ้าที่เดินทางสะดวกสบาย

ส่วน แนวโน้มของรายได้ในปี 2549 คงจะเป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ที่ 5,100ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากโครงการเก่าจำนวน 20 -30 โครงการ อย่างไรก็ตามการเติบโตของรายได้ในอนาคตยังเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะบริษัทฯ มีทีมงานที่มีศักยภาพและเป็นที่รู้จักของลูกค้า

สำหรับวอแรนต์ที่ปรับลดลงมากที่สุดคือ FNS-W1 อยู่ที่อันดับ 77 ราคาปรับตัวลดลง 99.68% มาที่ระดับ 0.01 บาท จากเดิมที่ 3.14 บาท เนื่องจากหุ้นแม่ FNS หรือ บริษัทฟินันซ่า จำกัด (มหาชน) ผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 2549 ขาดทุนเป็น217.54 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปี2548มีกำไรเป็น 161.50 ล้านบาทเนื่องจากการตั้งค่าเผื่อขาดทุนจากการด้อยค่าสำหรับเงินลงทุนระยะยาวในกองทุนที่จดทะเบียนในต่างประเทศซึ่งอยู่ในระหว่างการชำระบัญชี และสำหรับเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่ถือไว้เผื่อขาย

อีกทั้ง เป็นการลดลงของกำไรจากการดำเนินงาน เนื่องจากมีรายได้ค่านายหน้าลดลงตามส่วนแบ่งตลาดที่ลดลงโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่หนึ่งและไตรมาสที่สองของปีนี้ มีค่าใช้จ่ายในการบริการและบริหารเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินของธุรกิจเงินทุนเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตาม FNS-W1 ขณะนี้ได้หมดเวลาใช้สิทธิครั้งสุดท้ายไปแล้วตั้งแต่วันที่16ตุลาคม 2549 ที่ผ่านมา

ข้อมูลการปรับตัวขึ้นขึ้นลงของราคาวอร์แรนต์ ตลอดปีที่ผ่านมา สามารถนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการลงทุนวอร์แรนต์ ในปี 2550 ได้ ส่วนวอร์แรนต์ที่จะปรับตัวขึ้นในปีนี้ จะเป็นตัวเดิมเหมือนปีที่แล้วหรือไม่ คงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง อย่าง วอร์แรนต์