May 10, 2024   4:31:32 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 24/01/2007 @ 08:15:36
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อ SPALIราคาเป้าหมาย 4.00 บาทบริษัทสามารถทำยอด Presale ของปี 49 ได้ 7,076 ล้านบาท โดยสัดส่วนสินค้าหลักมาจากคอนโดมีเนียม 63%รองลงมาเป็น บ้านเดี่ยว 34% และทาวน์เฮาส์ 3%ตั้งเป้าปี 50เพิ่มยอด Presale เป็น 8,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% โดยหวังเพิ่มสัดส่วนสินค้าเป็นทาวน์เฮาส์โดยคาดว่าบริษัทจะมียอด Presale เพิ่มเป็น10% โดยลดสัดส่วนคอนโดมีเนียมลงเป็น 44% และเพิ่มในส่วนของบ้านเดี่ยวเป็น 46% จากเดิมในปี 49 บริษัทมีสินค้าที่ออกสู่ตลาดเป็นคอนโดมีเนียมสำหรับในปี 50 บริษัทมองว่าตลาดของทาวน์เฮาส์เริ่มมาแรงทำให้สินค้า ในปี 50เปิดตัวเป็นทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยวต่อเนื่องโดยยังคงราคาเฉลี่ยที่อยู่ในความต้องการของตลาดในระดับราคา1-3 ล้านบาท นอกจากโครงการใหม่ที่มีแผนเปิดตัวในช่วง 2Q50-4Q50 อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงหาทำเลทีดิน ที่น่าสนใจ สำหรับโครงการคอนโดมีเนียม โดยในปี 50 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมีเนียม ในบริเวณท่าพระที่มีพื้นที่ใกล้เคียงรถไฟฟ้า คาดผลประกอบการ 4Q49 บริษัทมีกำไรสุทธิ 167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น12%QoQ แต่ลดลง 37% YoY โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการชายและบริการจากโครงการOriental Place สาธร-สวนพลู และ Premier Place Asoke อยู่ที่ 1,105 ล้านบาทมาจากโครงการ ทรงตัว1%QoQ และปรับลด 9%YoY โดยคาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ทรงตัว ประมาณ 41.3% มียอด Backlog รอรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปถึง 2 ปี จากยอดPresaleที่เติบโต


บล.โกลเบล็กแนะนำซื้อ TUFราคาเป้าหมาย 28 บาทปี 50 ดีขึ้นจากปัจจัยลบที่เริ่มชะลอตัวคาดผลประกอบการปี 49 ปรับตัวลดลงราว 11%เนื่องจากได้รับผลกระทบปัจจัยลบหลายด้าน โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น, อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ก็ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบและการขนส่งตัวปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในปี 50 เราคาดว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะเริ่มชะลอตัวลง ทั้งค่าเงินบาท อัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับสินค้าทูน่า กุ้งแช่แข็ง และ petfoodซึ่งเป็นสินค้าส่งออกยังขยายตัวได้ดี นอกจากนั้น TUF ยังมีแผขยายกำลังการผลิตอาหารกุ้งอีก 30% และจะมีการปรับเปลี่ยนพลังงานการผลิตมาใช้เชื้อเพลิงถ่านหินแทน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานอีกด้วย ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในปี 50 จะเติบโตราว เราคาดว่าปัจจัยลบต่างๆ ในปี 50 จะเริ่มน้อยลงเมื่อเทียบกับปี 49 โดยในปี 50 คาดว่าค่าเงินบาทน่าจะเริ่มทรงตัวถึงอ่อนค่าลง จากมาตรการต่างๆ ของ ธปท. ที่ต้องการควบคุมปริมาณเงินไหลเข้าและการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งยังจะส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายเริ่มชะลอตัวลงอีกด้วย ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ซึ่งหลักๆ ได้แก่ ราคาวัตถุดิบประกอบบรรจุภัณฑ์และการขนส่ง ยอดขายในปี 50 เราคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นราว9% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 49 ที่เราประมาณการณ์ว่าจะเติบโตเพียง 3% เท่านั้น โดยธุรกิจที่มีการขยายตัวอย่างโดดเด่น คือ ธุรกิจกุ้งแช่แข็งและ petfood ที่คาดว่าจะขยายตัว 10-15% ส่วนธุรกิจทูน่า และอาหารกุ้ง ก็ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยในปี 50 บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตอาหารกุ้งอีก 30% นอกจากนั้น ยังมีแผนที่จะทำการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิงมาเป็นถ่านหิน ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย


บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อ TOPราคาเป้าหมาย 68.00 บาทคาดกำไรปกติไตรมาส 4/2549 อยู่ที่ 2,855 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการรวมในปี2549 อยู่ที่ 14,970 ล้านบาท สูงกว่าที่เราคาดไว้ที่ 14,689ล้านบาท ขณะที่บริษัทน่าจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2549 อยู่ที่ 3,539ล้านบาท ตามแนวโน้มของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิรวมในปี 2549 อยู่ที่ 18,509 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 8.93 บาท ลดลง 3% yoy ซึ่งส่วนหนึ่งของการลดลงมาจากปีที่ผ่านมาบริษัทมีการบันทึกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งมีกำไรจาก เราปรับประมาณการผลประกอบการในปี2550 ลดลงเล็กน้อยจาก 16,892 ล้านบาท เหลือ 15,493 ล้านบาท โดยเราปรับสมมติฐานค่าการกลั่นลดลงจาก 5.5 เหรียญต่อบาร์เรลเหลือ 5 เหรียญต่อบาร์เรล อ้างอิงราคาน้ำมันดิบดูไบที่ 52 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2551 จะปรับตัวดีขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 บาร์เรลต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 23% รวมทั้งการเพิ่มกำลังการผลิตของ TPX อีกเท่าตัว จะเป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการปี 2551 ให้เติบโตต่อเนื่องโดยเราคาดว่าในปี 2551 บริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 19,492 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีจากวิธีส่วนได้เสีย เป็นวิธีราคาทุนนั้น ไม่กระทบการจ่ายเงินปันผล ทำให้เรายังเชื่อว่าบริษัทน่าจะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังไม่น้อยกว่า 2 บาท ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 3.7% เราประเมินราคาที่เหมาะสมของ TOP จาก DCF ให้ WACC ที่ประมาณ10.65% จากประเด็นในระยะสั้นที่เราคาดว่าบริษัทน่าจะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังไม่น้อยกว่า 2บาท ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 3.7% ขณะที่ Upside gain ทางด้านราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 19%ขณะที่ระยะยาว แม้ว่าเราจะปรับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งค่าการกลั่นในอนาคตลดลง แต่อย่างไรก็ตามเรายังเชื่อว่าการเติบโตของบริษัทยังมีต่อเนื่อง


บล.กิมเอ็งแนะนำถือ KTBราคาเป้าหมาย 14.00 บาทKTB ประกาศผลประกอบการกำไรสุทธิในปี 2549 ออกมาเท่ากับ 14,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 8.0% yoy เมื่อเทียบกับปี 2548 และสูงกว่าที่เราประมาณการไว้ 0.9% ขณะที่กำไรก่อนการตั้งสำรองและภาษีเติบโตโดดเด่น 28.9%yoy รวมถึงรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เติบโต 18.9%yoy สาเหตุที่กำไรสุทธิมีการเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่ากำไรจากการดำเนินงานเนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงปลายปีในส่วนของ IAS 39 จำนวน 10,900ล้านบาท ส่งผลให้เงินสำรองฯทั้งปีเท่ากับ 16,498 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 156% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีเป็น 4.06% จาก 3.45% ในไตรมาส 3/49 สิ้นสุด ณ เดือนธันวาคม 2549 ยอดเงินให้สินเชื่อของ KTB เท่ากับ 926,269 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย 2.3%yoy เมื่อเทียบกับปี 2548 อย่างไรก็ตามยอด NPLsปรับตัวลดลงได้ดี 8.14% เป็น 89,692 ล้านบาท หรือเท่ากับ 9.22% เทียบกับ 10.32%ในปี 48 จาก NPLs ที่ปรับตัวลดลงและเงินสำรองฯที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ อัตราส่วนการตั้งสำรองต่อหนี้ NPLs ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 43.9% จาก 35.6% ในไตรมาส 3/49 สำหรับฐานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้นมากภายหลังจากการออก Hybrid Tier I capital ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 14.5% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ 13.7% ในไตรมาส 3/49 เรามีมุมมองที่เป็นบวกสำหรับ CAR ที่ปรับตัวดีขึ้นทัดเทียมกับธนาคารขนาดใหญ่ด้วยกัน (BBL 14.6%, KBANK 14.7%, SCB 14.3%) แม้ว่า KTB จะมีการตั้งสำรองฯในระดับที่สูงในปี 49 เราเชื่อว่าธนาคารจะยังต้องตั้งสำรองฯต่อเนื่องในปี 2550ตามเกณฑ์ของ IAS 39 สำหรับ NPLs อายุ 3-6 เดือนในสิ้นงวด มิ.ย. 50 และ ธ.ค.50 นี้ เราได้ประมาณการผลประกอบการกำไรสุทธิในปี 50 ของ KTB เป็น 11,960 ล้านบาท ลดลง 15.0% เมื่อเทียบกับปี 49 ที่ผ่านมา






[/color:5e7bcd33cd">[/size:5e7bcd33cd">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com